วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

เตียงนางไม้ ตอนที่ 15

โดย...เจิด จินตนา
๑๕ . . .


          ฮอนด้าซีวิคสีแดงเลี้ยวเข้าประตูอพาร์ตเม้นท์มา เมื่อดวงอาทิตย์กำลังใกล้จะอำลาขอบฟ้า และเข้าไปจอดนิ่งในลานจอดรถที่ใต้ถุนสองสาวซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันอย่างลิบลับ คนหนึ่งหุ่นเพรียวระหงดุจนางแบบ ส่วนอีกคนตัวป้อม ๆ เหมือนตุ่มต่อขา พากันก้าวลงมาจากรถเก๋งคันงาม
            แตนอยากจะรู้ว่าหล่อนทำกิ๊บติดผมลืมตกเอาไว้ในห้องต้นหรือเปล่า เลยชวนยัยตุ่มมาเป็นเพื่อน เพื่อจะได้ช่วยกันหา ตุ่มกำลังคิดถึงปื๊ดเด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์ เพื่อนใหม่ของหล่อนอยู่เหมือนกัน จึงไม่กล้าปฏิเสธคำชวนของแตน
          ต้นยังไม่กลับมา หลังจากที่ชวนกันเดินไปเคาะประตูเรียกดูแล้วไม่มีเสียงตอบ สองสาวจึงกลับลงมานั่งรอที่โต๊ะม้าหินขัดข้างสนามหญ้า
            เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ดวงอาทิตย์หายลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ยังไม่เห็นมีวี่แววของชายหนุ่มที่ตั้งตามารอคอย แตนกับตุ่มเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย
            ทำไมป่านนี้แล้ว พี่ต้นยังไม่เห็นกลับมาเสียที?” แตนหน้าง้ำ บ่นพึมพำเหมือนหมีกินผึ้ง ไม่รู้มัวไปเถลไถลอยู่เสียที่ไหน แย่จังเลยพี่ต้นนะพี่ต้น
            “นั่นน่ะซิ…” ตุ่มตั้งข้อศอกบนโต๊ะม้าหิน เอามือเท้าคางทำตาลอย หรืออาจจะไปธุระต่อที่ไหน คุณปื๊ดไม่อยู่ด้วยซิเลยไม่รู้จะไปถามใครดี”
            ในออฟฟิศ โฉมศรีสังเกตเห็นทั้งสองสาวคอยชะเง้อมองไปที่ประตูรั้วอยู่บ่อย ๆ อดไม่ได้ต้องลุกเดินออกมาถามดู
            มารอพบใครหรือคะ?”
            “รอคุณต้นคนที่อยู่ห้องสามหนึ่งหกแน่ะค่ะแตนเงยหน้าขึ้นตอบ
            ห้องสามหนึ่งหก!!”
            สาวใหญ่อุทานเสียงดังลั่น สีหน้าและท่าทางแสดงความประหวั่นพรั่นพรึ่ง แตนขมวดคิ้วเมื่อเห็นอาการเช่นนั้นของหล่อน
            ทำไมหรือคะห้องสามหนึ่งหกมีอะไรหรือคะคุณน้า?”
            “ปะเปล่าไม่มีอะไรหรอกหล่อนรีบออกตัวปฏิเสธด้วยกลัวว่าจะถูกเด็กหัวเราะเยาะเอา ทำให้แตนข้องใจเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
            ท่าทางคุณน้าเหมือนกลัวอะไรอย่างงั้นแหละบอกมาเถอะค่ะ หนู เอ้อหนูกับพี่ต้นเป็นแฟนกันน่ะค่ะ
            โฉมศรียืนลังเลใจอยู่นิดหนึ่ง แล้วหย่อนก้นลงนั่งแหมะลงที่ม้าหิน ทำตาล่อกแล่ก ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แตน จีบปากจีบคอพูดเสียงค่อย ๆจนเกือบจะเป็นกระซิบ
            หนูอาจจะไม่เชื่อ เมื่อเช้านี้ฉันเห็นมีผู้หญิงผมยาว ๆนั่งอยู่ในห้องนั้น ข้าวของก็ลอยไปลอยมาเต็มไปหมด แต่พอพาคนกลับไปดูอีกทีนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย สงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นผี ไม่ใช่คนแน่อุ้ย, น่ากลัวจริง ๆ ค่ะ…”
            เล่าแล้วทำท่าขนลุกขนชัน แตนชักนึกเอะใจเหมือนหล่อนเคยเจอผู้หญิงผมยาวในห้องของต้นเข้าเหมือนกัน
            ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไงคะคุณน้า?”
            “สวย….สวยมากเลย ตาโตหวาน ๆใส่กระโปรงยาวดูเหมือนจะคล้ายชุดราตรี สีชมพูสว่าง ๆ อะไรอย่างงั้นแหละ
            ใช่คนเดียวกันแน่คนที่แตนเห็นมีลักษณะและการแต่งกายแบบเดียวกันนี้ หล่อนคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องมีอะไรกับต้นอย่างแน่นอน
            อารมณ์หึงหวงงพุ่งพล่านขึ้นมาในทันที ต้นยังไม่กลับมา ดีแล้ว หล่อนจะขึ้นไปดูให้เห็นกับตา จับให้ได้คาหนังคาเขา
            คุณน้ามีกุญแจสำรองใช่มั้ยคะ หนูอยากจะขึ้นไปดูสักหน่อยค่ะ
            “เฮ้ย, มันจะดีหรือวะยัยแตน?”
            ตุ่มพูดทักท้วง เพราะรู้สึกหวาก ๆ ยังไงพิกลอยู่ แต่แตนไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ ขอยืมกุญแจห้องสำรองจากโฉมศรี แล้วดึงยัยตุ่มขึ้นไปที่ห้องของต้นจนได้
            หล่อนเดินย่องมาที่หน้าห้องของต้นอย่างเงียบกริบตุ่มตามหลังมาด้วยใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แตนไขกุญแจห้อง แล้วเปิดผัวะออกอย่างรวดเร็ว
            ในห้องแลดูมืดสลัว ทำให้ยังมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก ตุ่มคลำหาสวิตซ์ไฟจนเจอ แล้วเปิดไฟให้สว่างขึ้น
            ไม่เห็นมีใครเลย ทั้งห้องมีแต่ความว่างเปล่า แตนรู้สึกผิดหวังอย่างแรงที่ไม่ได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นตามที่หล่อนตั้งใจ
            ข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูสะอาดตา ตุ่มเดินไปเปิดหน้าต่างด้านระเบียงเพื่อให้ลมเย็นฉ่ำจากภายนอกโชยพัดเข้ามา ลองเอามือลูบขอบหน้าต่างดูไม่มีฝุ่นติดมาเลยสักนิด คิดอยู่ในใจว่าต้นช่างขยันเอาเวลาที่ไหนมาทำความสะอาดห้อง จนดูเอี่ยมอ่องเช่นนี้ได้
            อย่ามัวยืนเซ่ออยู่เลยยัยตุ่ม มาช่วยกันหากิ๊บติดผมกันเถอะ
            แตนบอกกับเพื่อน แล้วก้มหน้าลงมองดูตามพื้นห้อง ตุ่มลงทุนนั่งคุกเข่าลงก้ม ๆ เงย ๆ คลานสี่เท้าช่วยเพื่อนของหล่อนมองหาอย่างขะมักเขม้น
            ทั้งสองคนช่วยกันค้นทั่วห้องอย่างละเอียดถี่ยิบทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นที่ใต้เตียง ซอกตู้ หรือใต้โต๊ะเก้าอี้ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเจอเลย แตนชักเริ่มรู้สึกท้อใจ เชื่อว่าหล่อนคงไม่ได้ทำตกตายที่ห้องนี้แน่ เดินซึมไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก่าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นึกตำหนิตัวเองที่ไม่น่าสะเพร่าทำกิ๊บติดผมคู่นั้นหายไป
            ช่างมันเถอะวะแตน….ของราคาไม่กี่สตางค์ซื้อเอาใหม่ได้นี่หว่า ฐานะอย่างนายไอ้กิ๊บติดผมกระจอกๆแบบนั้น เหมาหมดทั้งร้านเลยยังไหว
            ตุ่มเข้ามาปลอบ  เมื่อเห็นเพื่อนนั่งซึมกระทืบเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก แต่แตนกลับถอนใจยาวสีหน้าเศร้าสลด
            นายไม่รู้อะไรหรอกยัยตุ่ม….ถึงมันจะดูไม่มีราคาแต่มีความหมายต่อฉันมาก เพราะมันเป็นของที่พี่ต้นซื้อให้…..นี่ถ้าพี่ต้นเขารู้ว่าฉันทำหายไป จะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้
            หล่อนนั่งก้มหน้า แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรเข้าบนโต๊ะเครื่องแป้งโดยบังเอิญ
            กิ๊บติดผมรูปผีเสื้อวางคู่กันอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนี่เอง
            เจอแล้ว….เจอแล้ว….”  หล่อนอุทานเสียงลั่นจนตุ่มสะดุ้งเฮือกตกใจ แตนรีบคว้ากิ๊บติดผมคู่นั้นขึ้นมาจากโต๊ะ ฉันทำตกเอาไว้ในห้องนี้จริง ๆ พี่ต้นคงเจอเข้าเลยเก็บเอาไว้ให้
            ท่าทางหล่อนรู้สึกจะดีใจมาก แต่สำหรับตุ่ม พอเห็นของที่เพื่อนค้นหาเสียแทบเป็นแทบตาย ถึงกับต้องส่ายหน้าอย่างนึกสมเพชเวทนา มันก็ไอ้กิ๊บติดผมพลาสติกธรรมดา ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลยนี่เอง
            แตนมองดูเงาตัวเองในกระจกทำท่าจะยกกิ๊บติดผมขึ้นติด แต่แล้วกลับต้องชะงักมือ เมื่อได้ยินเสียงตวาดร้องห้ามดังขึ้น
            อย่านะ!”
            ทั้งแตนกับตุ่มหันขวับไปมองพร้อมกัน
            ที่เตียงนอนวนากำลังนั่งขัดสมาธิจ้องมองมาที่แตนอย่างไม่พึงพอใจพร้อมกับออกคำสั่ง
            “เอากลับไปวางลงที่เก่าเดี๋ยวนี้
            “อ๋อ,แกนี่เอง…” พอเห็นหน้าแตนจำได้ทันที ว่านี่คือผู้หญิงคนที่หล่อนเคยเห็นอยู่กับต้นในห้องนี้ หญิงสาวทำตาลุกวาวดุจแม่เสือ แกมีสิทธิ์อะไรที่จะมาออกคำสั่งนี่มันของ ๆ ฉัน!”
            หล่อนสะบัดหน้า หันกลับไปที่กระจกเงา ติดกิ๊บทั้งคู่ไว้ที่ชายผมของตัวเองเหมือนจะเป็นการท้าทาย
            คุณเข้าใจผิด กิ๊บคู่นั้นคุณต้นซื้อให้ฉันเอาคืนมานะ!”
            วนาก้าวลงจากเตียง แล้วหงายฝ่ามือทั้งสองข้างยื่นไปตรงหน้า
            ทันใดนั้น แตนรู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับอะไรบางอย่างดึงดูดตัวหล่อนเซถลาเข้าไปหานางไม้สาวอย่างไม่มีทางดิ้นรนขัดขืนได้ หล่อนยืนตกตะลึง ปล่อยให้วนาดึงกิ๊บติดผมกลับคืนไปอย่างง่ายดาย
            รู้สึกแค้นใจจนเลือดขึ้นหน้าที่โดนวนาทำเช่นนี้กับหล่อน แตนเงื้อง่าฝ่ามือหมายจะตบหน้าสั่งสอน
            แก….แกกล้าดียังไง?”
            แต่ฝ่ามือยังไม่ทันได้สัมผัสกับแก้มนวลของนางไม้สาว วนาเพียงแค่ถลึงแล้วพยักหน้า ร่างของแตนก็ผวากระเด็นออกไป เหมือนถูกผลักอย่างแรงไปปะทะกับโต๊ะเครื่องแป้ง ข้าวของที่วางเรียงรายอยู่บนนั้น ถูกแรงปะทะสะเทือนล้มกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นห้อง พร้อมกับร่างแตนที่ทรุดฮวบลงไป
            ขอเถอะนะแตน อย่ามีเรื่องกันเลยตุ่มรีบเข้าไปประคองเพื่อนสาวให้ลุกขึ้นยืน
            ไม่ต้องมายุ่ง….”  แตนสะบัดมือ แล้วหันมาจ้องหน้าวนาอย่างรู้สึกแปลกใจ แกเป็นใคร
            “ฉันชื่อวนา….ของสิ่งนี้คุณต้นเป็นคนให้ฉัน คุณไม่มีสิทธิ์จะเอาไป
            “แก…..แกเป็นอะไรกับพี่ต้น บอกมาเดี๋ยวนี้น่ะ? แตนแผดเสียงร้องถามดังลั่นห้อง
            ฉันอยู่ที่นี่….คุณต้นเป็นคนอนุญาตให้ฉันอยู่….”
            คำก็คุณต้นสองคำก็คุณต้น แตนรู้สึกแค้นใจจนต้องแผดเสียงร้องกรี๊กกระทืบเท้าเร่า ๆ
            อ้อ ! นี่หมายความว่า แกเป็นเมียพี่ต้นอย่างงั้นหรือ แกแกนะแก อีนังตัวแสบ!”
            หล่อนกัดฟันกรอดแล้วพุ่งตัวกระโจนพรวดเข้าหาวนา หมายผลักให้ล้มหงายไป แต่ทว่า มือทั้งสองข้างกลับสัมผัสกับอากาศอันว่างเปล่า แตนตาเหลือกเพราะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ แล้วร่างของหล่อนก็ทะลุผ่านร่างนางไม้สาว เสียหลักถลาลงไปล้มฟุบหน้าคว่ำอยู่บนเตียง
            ยัยตุ่มแหกปากร้องเสียงหลง วิ่งหนีปุเลง ๆ ออกไปจากห้องอย่างสุดชีวิต
            แตนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่หล่อนไม่อาจจะเอาชนะด้วยกำลังได้ หล่อนยืนตกตะลึง ใบหน้าเริ่มถอดสี ศีรษะของนางไม้สาวปรากฏกลับมาอย่างเดิมจ้องมองหล่อนด้วยสายตาดุดัน
            คุณเป็นคนหยาบคายมาก ชอบถืออำนาจบาตรใหญ่ ข่มเหงรังแกทำร้ายจิตใจคนอื่น….คุณทำกับคนอื่นได้ แต่ทำกับฉันไม่ได้ผลหรอกจะบอกให้
            ความจริงแล้ว  วนาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำร้ายแตนเลยแม้สักนิด นางไม้สาวเพียงแค่พูดข่มขู่ให้หล่อนเกิดความหวาดกลัวเท่านั้นเอง แต่กลับได้ผลเกินคาดแตนกลัวจนเกิดอาการเกร็งไปทั้งตัว พอวนาก้าวเข้ามาหาอีกเพียงก้าวเดียว หล่อนถึงกับมือไม้อ่อนปวกเปียก เป็นลมล้มฟุบไปทันที
            ต้นกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ เห็นตุ่มหวีดร้องวิ่งลงบันไดมาด้วยสีหน้าแสดงความหวาดกลัวอย่างขีดสุดขีดเขาต้องรีบกระโดดลงจากเบาะท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของปื๊ด ทั้ง ๆ ที่ยังจอดไม่สนิท วิ่งปราดเข้าไปหา
            เป็นอะไรไปน่ะตุ่ม?”
            “พี่ต้นช่วยทีเร็ว  ยัยแตน….ยัยแตนถูก….ถูกผีหลอกในห้องพี่ต้น  รีบขึ้นไปช่วยเร็วเข้า!” ตุ่มละล่ำละลักบอกเสียงสั่น
            ตายห่ะยุ่งล่ะซิ !”
            ชายหนุ่มอุทานอย่างตกอกตกใจ รีบกระโจนพรวดพราดขึ้นบันไดไป ทิ้งให้ตุ่มยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้นปื๊ดดับเครื่องตั้งขาหยั่งมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินเข้ามาหาอย่างงงๆ
            มีอะไรหรือครับคุณตุ่ม?”
            “ตุ่มโดนผีหลอกมีผีอยู่ในห้องของพี่ต้น มันน่ากลัวจริง ๆ บริ๋อ อ อ….”
            ตุ่มทำท่าขนลุกขนพอง เผลอตัวผวาเข้าไปกอดปื๊ดเอาไว้แน่น ข้างฝ่ายเด็กหนุ่มพอได้ยินคำว่าผี ก็เกิดความกลัวจนแทบขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาเช่นกัน เลยยืดกอดกันกลมตัวสั่น ทำให้คุณนายโฉมศรี ซึ่งโผล่หน้าออกจากออฟฟิศมาได้ยินเข้าพอดี รีบปิดประตูผลุบกลับเข้าไปนั่งพนมมือสวดมนต์ปากคอสั่นไปหมด
            ตายล่ะ ! พี่ต้นพี่ต้นขึ้นไปแล้ว….”  ตุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ ผละออกจากปื๊ด  คุณปื๊ดรีบตามไปช่วยทีซี่เดี๋ยวพี่ต้นก็โดนผีหักคอเอาหรอก…”
            “ผมน่ะเหรอ?” เด็กหนุ่มทำตาเหลือกอ้าปากค้าง
            ก็ใช่น่ะซี่จะมีใครอีกล่ะ เร็วเข้าเถอะ ป่านนี้พี่ต้นกับยัยแตน จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้….”
            หล่อนพูดพร้อมกับจับแขนของเขาเขย่า เพื่อเร่งเร้าให้ปื๊ดรีบขึ้นไปช่วยเร็ว ๆ เด็กหนุ่มทำท่าทางอิดออด เขาก็กลัวผีเหมือนกันนี่นา มันจะไหวหรือ
            แต่เมื่อเห็นสายตาอันวิงวอนของหญิงสาวหุ่นตุ้ยนุ้ย ชายหนุ่มต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างรู้สึกฝืดคอตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ ค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นบันไดอย่างหวาด ๆ
            ต้นมาถึงที่ห้อง เขาเห็นแตนนอนแผ่อยู่บนพื้นมีวนากำลังยืนมองดูอยู่ รีบเข้าไปประคองหญิงคนรักแล้วเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วถามนางไม้สาว
            คุณทำอะไรคุณแตนหรือ?”         
            “วนาไม่ได้ทำอะไรเลย…..เธอตกใจเป็นลมพับไปเองนางไม้สาวบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ยังเห็นสายตาของเขาแสดงความคลางแคลงใจอยู่ สงสัยอะไรหรือคะคุณต้น วนาเป็นเทพเทพารักษ์ พูดจาโกหกไม่ได้หรอกนะคะ…”
            เขาไม่ติดใจสงสัยอะไรอีกต่อไป เขย่าหญิงคนรักในอ้อมแขนเบา ๆ เพื่อให้หล่อนรู้สึกตัว
            คุณแตนคุณแตนครับ?”
            หญิงสาวค่อย ๆ ได้สติ เปิดเปลือกตาขึ้นมา พอเห็นหน้าชายหนุ่ม หล่อนรีบผวาเข้ากอดเอาไว้แน่น
            พี่ต้นอีนังนั่นมันเป็นผี รีบไล่มันไปซะพี่ต้นไล่มันไปเร็ว!”
            ร้องบอกปากคอสั่น พร้อมกับชี้มือไปที่วนา แต่เขากลับมีท่าทีนิ่งเฉยอยู่
            มัวชักช้าอยู่ทำไมล่ะพี่ต้น….รีบไล่มันไปซี่ แตนกลัว!”
            เสียงหล่อนเร่งเร้าอีก ต้นหันมองไปที่นางไม้สาวเห็นมีสีหน้าสลดลง ทำให้เขาเกิดความอึดอัดใจขึ้นมา
            ถ้าเขาออกปากไล่วนาตามคำขอร้องของแตน นางไม้สาวจะต้องไปจากที่นี่ และไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกอย่างแน่นอน
            ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ปื๊ดกำลังยืนอยู่ที่ประตูค่อย ๆ โผล่หน้ามามองดูเหตุการณ์อย่างหวาด ๆ เขาเห็นแตนกำลังออกงิ้วเช้าพอดี    
            ไล่มันไปซี่พี่ต้น แตนบอกให้ไล่มันไปหล่อนออกคำสั่งกับชายคนรักอย่างวางอำนาจ
            เธอไม่ทำอะไรคุณแตนหรอกครับ ถ้าหากว่าคุณแตนไม่ไปทำให้เธอโกรธ
            คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวตาลุกวาวขึ้นมาในทันที
            อ้อ ! พี่ต้นพูดเข้าข้างมัน เห็นนังปีศาจนั่นมันดีกว่าแตนอย่างงั้นใช่ไหมดีแล้ว! !”
            หล่อนผลักอกเขาอย่างแรงด้วยความฉุนเฉียว แล้วสะบัดหน้าลุกขึ้นจ้ำพรวด ๆ ไปที่ประตู ปื๊ดต้องรีบเบี่ยงตัวเปิดทางให้
            เดี๋ยวก่อนซิคุณแตนฟังผมก่อน เธอไม่ใช่ผี” ต้นวิ่งตามมาฉุดรั้งแขนของหล่อนเอาไว้
            “อย่ามาถูกตัวฉันนะ คนวิตถารเห็นผีดีกว่าคน….เชอะ!”
            หล่อนเชิดหน้าอย่างดูกเหยียดหยาม แล้วเดินอ้าวลงบันไดไป โดยไม่ยอมรับฟังคำชี้แจงใด ๆ ทั้งสิ้นปล่อยให้ชายหนุ่มยืนหน้าชากับคำสบประมาทนั้น
            ปื๊ดกำลังก้าวถอยหลัง ย่องกลับออกจากในห้อง ต้นเหลือบไปเห็นเข้าพอดี เขารีบคว้าแขนเสื้อเด็กหนุ่มเอาไว้
            เดี๋ยวก่อนปื๊ด….อย่าเพิ่งไปมารู้จักกับคุณวนาก่อน
            ไหน ๆ เด็กหนุ่มก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเขาจึงไม่อยากจะปิดบังอะไรอีกต่อไป แต่ปื๊ดกลับสั่นหน้าโบกไม้โบกมือวุ่นวาย
            มะ….มะ….ไม่เอาหรอกพี่ต้น อย่าดีกว่า
            “มาเถอะน่า….เธอไม่ใช่ผีหรอก
            เขารั้งตัวปื๊ดเข้ามาในห้องจนได้ แล้วปิดประตูเสียเด็กหนุ่มรู้สึกกลัวจนแทบจะฉี่ราดกางเกง แข้งขาสั่นพึ่บพับไปหมด เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้านางไม้โฉมงาม
            นี่คือคุณวนา….เธอเป็นรุกขเทวดาไม่ใช่ผี ต้นกล่าวแนะนำ
            “ยินดีมากค่ะที่ได้รู้จักกับคุณปื๊ด” นางไม้สาวเปิดยิ้มอย่างแสดงไมตรี
            ชะ…..ชะ….เช่นกันครับ คุณวนาเสียงปื๊ดยังไม่หายสั่น
            ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ วนาไม่ทำอะไรคุณปื๊ดหรอก….คุณปื๊ดเป็นคนดี วนาอยากรู้จักเป็นเพื่อนกับคุณมานานแล้วเหมือนกัน
            “เห็นมั้ย….เธอไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ใจดีออกดูน่ารักด้วยจริงมั้ยปื๊ด?” ต้นพยายามพูดโน้มน้าวจิตใจให้เด็กหนุ่มคลายความหวาดกลัวลง
            “แฮ่ะ ๆ จริงครับพี่ต้น….แต่ว่าคุณวนาไม่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกผมแน่นะ?”
            ปื๊ดย้ำเพื่อให้แน่ใจ นางไม้แสนสวยพยักหน้าน้อย ๆ
            วนาไม่ใช่พวกสัมพเวสี แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครเล่นแบบนั้นด้วย คุณปื๊ดวางใจได้เลยนะคะ
            คำตอบของหล่อนทำให้ปื๊ดค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นอักโขยิ้มออกมาได้อย่างเต็มที่ บรรยากาศจึงหายเครียดลง
            คุณวนาไปทำอะไรคุณแตนกับยัยตุ่มเข้า พวกเขาถึงไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวแบบนั้น?” ต้นถาม
            วนาไม่ได้ทำอะไรเลย….คุณแตนเธอมาเอากิ๊บติดผมคู่นี้ไปบอกพร้อมกับแบมือให้ดู แต่วนาไม่ยอมให้ คุณแตนเลยโกรธจะทำร้ายวนา แต่ทำอะไรวนาไม่ได้เลยเกิดความกลัวกันไปเอง
            “นึกแล้วเชียว ว่าสาเหตุจะต้องมาจากกิ๊บติดผมคู่นี้!” ต้นบ่นพึมพำอย่างรู้สึกอิดหนาระอาใจ ของเล็ก ๆ น้อย แค่นี้เอง คุณวนายอมให้คุณแตนไปเสียมันก็หมดเรื่อง ไว้ผมซื้อให้คุณใหม่ได้นี่นา….”
            “วนาเคยบอกคุณต้นแล้วไงว่า ของคุณต้นให้วนามันก็เป็นสิทธิ์ของวนา ใครจะมาเอาไปต้องรับอนุญาตจากวนาก่อน เหมือนกับการเอาของไปถวายศาลพระภูมิแบบนั้นแหละ
            คำชี้แจงของนางไม้สาว ทำให้ต้นถึงกับต้องยืนนิ่งอึ้งไป


วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

เตียงนางไม้ ตอนที่ 14

โดย...เจิด จินตนา
๑๔ . . .
อุ้ม อิศยา เป็น วนา


          ต้นไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ทิ้งให้วนาอยู่ในห้องโดยลำพัง นางไม้สาวเห็นไม้กวาด กระป๋องน้ำและไม้ถูพื้นที่ต้นซื้อมาเมื่อวานนี้ เกิดความคิดอยากจะช่วยทำความสะอาดห้องขึ้นมา
          จัดแจงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงนอนแล้วชี้นิ้วไปที่ไม้กวาด มีลำแสงเป็นประกายระยิบระยับดุจสะเก็ดดาวพุ่งออกจากนิ้วชี้ของหล่อนตรงไปหาไม้กวาด ทำให้ไม้กวาดมีแสงเรืองออกมา
          พอแสงจางหายไป  ไม้กวาดที่พิงอยู่ข้างฝาห้องพลันขยับตัวเองได้ดุจมีชีวิต เริ่มต้นลงมือกวาดเหยง ๆ ไปตามพื้นห้องอย่างขมีขมัน
          นางไม้สาวชี้นิ้วตวัดเป็นวงออกไปอีกครั้งละอองสะเก็ดดาว ก็กระจายพร่างไปสู่กระป๋องน้ำและไม้ถูพื้น ทำให้ของทั้งสองสิ่งนั้นมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ขั้นมา
            เจ้ากระป๋องน้ำพลาสติกสีแดงลอยไปที่ก๊อกน้ำในครัว ซุกตัวเองเข้าไปอยู่ใต้ก๊อก มันรอสักครู่ใหญ่ ๆ ยังไม่มีทีท่าว่าน้ำจะยอมไหลออกมา จึงลอยกลับไปหาวนาใช้หูหิ้วของมันสะกิดที่ต้นแขนหล่อน
            วนาเหลียวมามอง เห็นกระป๋องน้ำยังว่างเปล่าอยู่ไม่มีหยดน้ำเลยสักหยด หล่อนขมวดคิ้วหันไปมองที่ก๊อกน้ำแล้วเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้
            ตายจริง….ขอโทษนะข้าลืมไปน่ะ
            ชี้นิ้วปล่อยละอองสะเก็ดดาวไปที่ก๊อกน้ำ จากนั้นจึงหันมาพยักหน้าให้กับถังน้ำสีแดงให้มันลอยกลับไปที่ก๊อกน้ำอีกครั้งหนึ่ง
            คราวนี้เจ้าก๊อกน้ำยอมหมุนวาล์วปล่อยน้ำออกมาให้แก่มันแต่โดยดี นางไม้สาวนั่งมองแล้วยิ้มอย่างพอใจ
            เมื่อได้น้ำเกือบค่อนถัง เจ้าถังน้ำสีแดงจึงขยับตัวลอยอย่างอุ้ยอ้ายไปที่ห้องรับแขก ไม้ถูพื้นซึ่งรออยู่แล้วลอยตัวเองขึ้นมา เอาส่วนที่เป็นเส้นด้ายหยาบ ๆ สีขาวซึ่งผูกรวมกันเป็นกระจุกที่ปลายไม้ จุ่มลงไปในถังน้ำแล้วจัดแจงบิดตัวเอง ให้น้ำหยดลงไปในถังเหลือติดเส้นด้ายเพียงหมาด ๆ จากนั้นจึงลงมือถูพื้นไล่ตามเจ้าไม้กวาดไป
            วนานั่งมองดูการกระทำของพวกมัน อย่างรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินสักครู่ต่อมาจึงเริ่มมีปัญหากันอีก
            เจ้าไม้ถูกพื้นจะไปถูตรงส่วนที่เจ้าไม้กวาดยังไม่ได้กวาด เจ้าไม่กวาดไม่ยอมให้ถู ใช้ด้ามของมันตีกันออกไป เจ้าไม้ถูพื้นดึงดันที่จะถูให้ได้ จึงเปิดศึกดวลกันขึ้นมา ระหว่างที่ด้ามไม้กวาดกับด้ามไม้ถูพื้น โดยมีเจ้ากระป๋องน้ำขยับตัวเต้นหย็องแหย็งไปมา เหมือนกำลังเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างสุดมัน
            หยุดนะหยุด ! อย่าทะเลาะกัน
            นางไม้สาวทำเสียงดุร้องห้าม ทุกอย่างหยุดกึกลงทันที ไม้กวาดกับไม้ถูพื้นยอมแยกออกจากกัน
            รอให้กวาดเสร็จก่อนแล้วค่อยถูเจ้าไปถูที่อื่นก่อนไป๊…”
            ไม้ถูพื้นยอมทำตามแต่โดยดี ลอยไปถูตรงมุมห้องตามมือชี้ของหล่อน
            รอดูสักพักจนแน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก วนาจึงปล่อยให้พวกมันทำงานกันต่อไป ส่วนตัวของหล่อนเองหันไปทางตะกร้าใส่เสื้อผ้า ชี้นิ้วบังคับทำแบบเดียวกัน ทำให้ตะกร้าใบนั้นลอยไปที่ก๊อกน้ำในครัว
            หล่อนชี้ไปที่กะละมังซักผ้าซึ่งวางคว่ำอยู่ มันพลิกตัวหงายลอยเข้าไปใต้ก๊อกน้ำ น้ำถูกเปิดใส่พร้อมกับเสื้อผ้าที่ลอยออกจากตะกร้าลงไปอยู่ในกะละมัง
            กล่องผงซักฟอกกระดกตัวเองเทผงใส่ในกะละมังจนเกิดเป็นฟองฟูขึ้นมา แล้วเสื้อผ้าที่ถูกแช่อยู่ในนั้นต่างเริ่มขยับตัวเองไปมาคล้ายมีคนกำลังซักขยี้พวกมันอยู่
            ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางไม้สาวทำให้มันเป็นไปได้เพียงแค่ชี้นิ้วบังคับเท่านั้นเอง
            ในขณะที่วนา กำลังสนุกอยู่กับการทำการบ้านโฉมศรีสาวใหญ่เจ้าของอพาร์ตเม้นท์ก็กำลังเดินสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยของห้องพักต่าง ๆ อยู่หล่อนเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสามกวาดสายตามองไปเรื่อย ๆ
            หากพบว่า หน้าห้องไหนทำสกปรกเลอะเทอะหล่อนจะเรียกตัวเจ้าของห้องนั้นออกมาต่อว่า และถ้าเห็นมีอะไร ชำรุดเสียหาย เจ้าของห้องต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หล่อนจะเรียกค่าเสียหายชดใช้อย่างเต็มที่ ไม่มียอมลดให้แม้สักแดงเดียว
            ทุกคนที่มาเช่าห้องพักอยู่ในอพาร์ตเม้นท์แห่งนี้ต่างรู้กิตติศัพท์ความงกของหล่อนดี
            สาวใหญ่เดินมาจนถึงหน้าห้องของต้น รู้สึกมีลางสังหรณ์อย่างประหลาดทำให้ต้องชะงักฝีเท้า
            ห้องนี้แหละที่ผู้เช่ารายก่อน ๆ ต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า ถูกผีหลอกจนอยู่ไม่ได้ทุกรายไป แต่เหตุไฉนเจ้าหนุ่มหน้ามนคนนี้ถึงทนอยู่ได้ โดยไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เกิดขึ้น
            ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โฉมศรีค่อย ๆ ย่องเอาหูแนบลงไปที่บานประตู
            แล้วหล่อนต้องทำหูผึ่ง เมื่อได้ยินเสียงดังกุกกักดังลอดออกมาจากภายใน
            เสียงเหมือนมีคนทำอะไรอยู่ในห้อง สาวใหญ่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างสงสัย เพราะเห็นต้นออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ยังสวนกับหล่อนที่หน้าออฟฟิศชั้นล่างเลย
            ถ้าอย่างนั้นเป็นใครกันล่ะ กลางวันแสก ๆ แบบนี้คงไม่ใช่ผีหรอกนะ หรืออาจจะเป็นแมว ที่ผู้เช่าห้องอยู่ชั้นสองเลี้ยงเอาไว้แอบขึ้นมาจับหนูกิน
            ต้องดูให้รู้แน่ว่าเป็นอะไร โฉมศรีล้วงลูกกุญแจสำรองพวงใหญ่ซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมา เลือกได้ลูกกุญแจห้องต้น จัดแจงไขเปิดผัวะออกทันที
            สิ่งที่เห็นปรากฏต่อสายตา ทำให้หล่อนแทบช็อคยืนอ้าปากหวอตาค้าง
            ห้องนั้นดูโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด มีไม้กวาดกวาดพื้นย๊อกแย๊กได้เอง ถังใส่น้ำลอยไปมาอยู่ตรงหน้าหล่อนและไม้ถูพื้นกำลังบิดตัวเองจากถังน้ำ ถูไปตามพื้นโดยไม่มีคนจับต้อง
            บนเตียงนอน มีหญิงสาวผมยาวสวมชุดสีชมพูเรืองแสง กำลังจ้องมองมาที่หล่อนอยู่
            เส้นผมทุกเส้นบนศีรษะ ลุกชูตั้งพรึ่บขึ้นมาในทันที โฉมศรีกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง
            ว้าย ย ย ยผีหลอกผีหลอก
            รีบหันหลังกลับ เผ่นอ้าวออกไปจากหน้าห้องต้น
            ช่วยด้วยจ้าผีหลอก! !”
            วนารู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะไม่นึกว่าจะมีใครแอบเห็นเข้า หล่อนรีบโบกมือให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวลงอย่างฉับพลัน
            เสียงร้องของโฉมศรีทำให้แตกตื่นกันทั้งอพาร์ตเม้นท์ หล่อนวิ่งพรวดเดียวลงมาตั้งหลักที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ชนิดที่นักวิ่งวิบากกีฬาโอลิมปิกไม่มีทางสามารถทำลายสถิติของหล่อนได้
            ลุงม้วนกับแม่แจ่มโผล่หน้าออกจากห้องพักมามองดู ทั้งคู่มีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นเส้นผมบนศรีษะของโฉมศรีฟูตั้งบานคล้ายหัวสิงโต
            เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” ลุงม้วนถาม
            ผี..ผีในห้องสามหนึ่งหกมันหลอกฉัน…” หล่อนละล่ำละลักบอก โอ้ย! มันช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้
            ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามายืนดูเป็นกลุ่มใหญ่
            ข้าวของทุกอย่างในห้องน่ะ มันลอยได้เองแล้วมีผู้หญิงนั่งอยู่บนเตียง จ้องมองมาทางฉันยังจะกินเลือดกินเนื้อ ตางี้โตเท่ากะไข่ห่านแน่ะ…”
            พูดพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้น ทำให้หลายคนชักรู้สึกขนลุกขนพอง
            ไม่จริงล่ะมั้งเจ๊โฉม…” ปื๊ดซึ่งยืนฟังอยู่ด้วยอดคันปากแย้งขึ้นมาไม่ได้ เจ๊อาจจะตาฝากไปน่ะ ผีที่ไหนจะมาหลอกกันกลางวันแสก ๆ แบบนี้?”
            “จริง ๆ นะตาปื๊ดสาบานให้ก็ได้ฉันเห็นมากับตาฉันเองเดี๋ยวนี้จริง ๆ ให้ตายโหงตายห่าซิเอ้า!”
            หล่อนลงทุนยกมือไหว้ท่วมหัวสาบาน เด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์ชักเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเขาเองนั้นเคยเห็นผู้หญิงสาวสวยนั่งอยู่บนเตียง ในห้องของต้นมาก่อนแล้วเหมือนกัน
            เอายังงี้พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพิสูจน์กัน…”
            ปื๊ดทำใจกล้าเสนอแนะ แล้วก้าวเดินนำหน้าคนอื่น ๆ ขึ้นบันไดไปเป็นกลุ่มใหญ่
            ความจริงโฉมศรีไม่อยากที่จะกลับขึ้นไปอีก แต่เมื่อเห็นทุกคนพากันจ้องมองหน้าหล่อน จึงจำใจต้องเดินตามหลังไป พร้อมกับลุงม้วนและแม่แจ่ม
            ทั้งหมดเดินขึ้นมาจนถึงชั้นสาม ประตูห้องของต้นยังคงเปิดเอาไว้อยู่ โฉมศรีชะงักฝีเท้าแค่บันไดขั้นสุดท้าย ไม่กล้าก้าวขึ้นไปอีก เลยพลอยทำให้ทุกคนยืนจุกกันอยู่ที่บันไดนั่นเอง
            ปื๊ดหันกลับมามองเห็นเข้าเช่นนั้น จึงชักงักกึกเหมือนกัน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆเพื่อเรียกความกล้า ค่อย ๆเดินย่องไปที่หน้าห้องของต้นอย่างช้า ๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่พากันจ้องมองไปที่เขาเป็นจุดเดียวอย่างตื่นเต้น
            ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่เจ๊โฉม?” เขาชะโงกเข้าไปดูในห้อง แล้วหันมาบอก
            สายตาทุกคู่เปลี่ยนจากปื๊ดมาที่โฉมศรีราวกับนัดกันเอาไว้ หล่อนยิ้มแห้ง ๆ แล้วทำใจกล้าก้าวขึ้นบันไดไป คนอื่น ๆ เลยตามกันไปเป็นพรวน พอถึงหน้าห้องต้น ต่างแย่งกันชะเง้อคอมองเข้าไปข้างใน
            ทุกอย่างเป็นปกติไม่เห็นมีอะไรอย่างที่โฉมศรีเล่าให้ฟังเป็นตุเป็นตะเลยสักนิด
            บนเตียงนอนไม้สักแกะสลักนั้นว่างเปล่า ไม่มีร่างผู้หญิงนั่งอยู่ให้เห็น โฉมศรีเดินเข้าไปดูในห้องอย่างงง ๆ
            แปลกนะเมื่อกี้นี้ฉันยังเห็นไม้กวาดกับไม้ถูพื้นกวาดพื้นถูพื้นเองอยู่เลยจริง ๆ นี่ มันเกิดอะไรขึ้นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นนั่งจ้องมองฉันอยู่ตรงนี้หล่อนชี้มือไปที่เตียง ตอนนี้เธอหายไปไหนเสียแล้วล่ะ ถ้าหากว่าเธอไม่ใช่ผี…”
            ทุกคนต่างพากันมองโฉมศรีด้วยสายตาแปลก ๆบางคนนึกฉุนอยู่ในใจ ที่หล่อนทำให้ต้องตกอกตกใจและมาเสียเวลากับเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แม่แจ่มรีบเดินเข้าไปสะกิดนายจ้างสาว
            อีฉันว่าคุณนายต้องตาฝากไปแน่เลยกลับกันดีกว่าค่ะ…”
            โฉมศรียังไม่ยอมแพ้ หล่อนเห็นอะไรเป็นหลักฐานยืนยันคำพูดของตนได้ รีบหยิบมันขึ้นมาชูให้ทุกคนดู
            ดูนี่ซิเห็นมั้ย ไม้ถูพื้นยังหมาด ๆ อยู่เลยนี่ไง!”
            ปื๊ดรับไม้ถูพื้นขึ้นมาพิจารณาดู เห็นยังเปียก ๆ อยู่อย่างที่โฉมศรีบอกจริง ๆ
            เอผมว่า พี่ต้นอาจจะถูพื้นห้อง ก่อนที่เขาจะออกไปทำงานล่ะมั้งเจ๊…”
            หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับปื๊ด แล้วค่อย ๆ สลายตัวแยกย้ายกันไป เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรในห้องนั้น ปื๊ดเอาไม้ถูพื้นวางกลับเข้าที่เดิม
            ฉันไม่ได้ตาฝากนะตาปื๊ดฉันเห็นทุกอย่างตามที่ฉันเล่ามาจริง ๆเชื่อฉันเถอะ…”
            โฉมศรีโอดครวญอย่างน่าสงสาร
                        **********
            ต้นยังคงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องของเขา ชายหนุ่มนั่งทำงานอยู่ที่บริษัทจนกระทั่งบ่าย จึงเห็นปื๊ดเดินขึ่นมาหา แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ก็ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มสู่หูต้น เขาฟังแล้วได้แต่นั่งอมยิ้ม
            แล้วปื๊ดเชื่ออย่างที่คุณโฉมศรีเล่าให้ฟังหรือเปล่าล่ะ?”
            ต้นย้อนถามเมื่อปื๊ดเล่าจบ เด็กหนุ่มยกมือเกาหัวแกรก
            นั่นซินะ….ไหนพี่ต้นบอกว่านางไม้ไม่ได้อยู่ในห้องนั้นแล้ว ทำไมยังมีคนเห็นได้อีกล่ะ ผมว่าผมเห็นเหมือนกันจริง ๆ นะพี่ต้น
            “เธออาจจะกลับมาอีกครั้งแล้วมั้ง!” เขาแกล้งพูดเพื่อจะหยั่งปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม
            ฮ้า ! อย่าล้อเล่นน่า…” ปื๊ดทำตาโต งั้นงั้นที่ผมเห็นก็เป็นเธอจริง ๆน่ะซิ…”
            “คงใช่มั้งแต่เธอไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะเธอเป็นนางไม้สาวที่น่ารักจริง ๆ ไว้วันหลังพี่จะแนะนำให้ปื๊ดรู้จัก
            “ไม่ต้องหรอกนะพี่ต้น…….อย่าดีกว่า ผมยังไม่อยากจะเจอด้วย ต่อให้สวยหยาดนางฟ้ามาดินสักแค่ไหนไม่เอาทั้งนั้น
            ปื๊ดทำท่าทาง แสดงความหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มจึงหัวเราะหึ ๆ ออกมา แล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย
            ปื๊ดอุตส่าห์มาถึงที่นี่ เพื่อจะบอกเรื่องนี้เท่านั้นเองเรอะ?”
            “ยังมีอีกเรื่องนึงพี่ต้น…” เด็กหนุ่มขยับตัวนั่งก้มหน้า สีหน้าดูเศร้าลงไป เมื่อตอนสายแม่ผมโทร.มาหา สั่งให้ผมไปพบที่บ้านใจจริงผมไม่อยากไปเลย
            “อ้าว,ไปซี่แม่ของปื๊ดเองแท้ ๆ จะต้องกลัวอะไร…”
            “มันไม่ใช่อย่างงั้นน่ะซิพี่ต้นน้ำเสียงของปื๊ดแสดงความอึดอัดอัดใจ พี่ต้นยังไม่รู้อะไร เวลาเกิดโมโหขึ้นมา แม่ผมแกด่าเป็นไฟแลบเลยจะไม่ไปหาไม่ได้ด้วยซี่แม่ขู่เอาไว้ว่า จะตามมาเฉ่งผมถึงห้องพัก จริง ๆ นะเตี่ยผมไม่น่าให้เบอร์โทร.ไปเลย…”
            “แม่ของปื๊ดอาจจะมีธุระอะไรคุยด้วย ไปหาหน่อยเถอะน่าไม่มีอะไรหรอก
            “งั้นพี่ต้นช่วยไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมล่ะ….บางทีเห็นมีพี่ต้นอยู่ด้วย แม่อาจจะไม่กล้าด่าผมต่อหน้าพี่ช่วยหน่อยนะพี่ต้น!”
            เด็กหนุ่มออดอ้อน จนต้นต้องยอมรับปากไปเป็นเพื่อน
                        **********
            บ้านที่ปื๊ดพาต้นไป เป็นตึกหลังใหญ่สไตล์โรมันปูพื้นด้วยหินอ่อนทั้งหลัง แม่ของปื๊ดออกมาต้อนรับด้วยอาการแสดงความดีอกดีใจ
            หล่อนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีรูปร่างเจ้าเนื้อ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไขมัน เห็นแล้วต้นยังอดนึกขำไม่ได้คนในตระกูลนี้ ล้วนแล้วแต่อ้วนท้วมสมบูรณ์กันทั้งนั้นพ่อแม่ลูกสามคนรวมกัน น้ำหนักคงเฉียด ๆ สามสี่ร้อยกิโล
            ปื๊ดแนะนำต้นให้รู้จักกับแม่ของเขา ท่าทางเป็นคนใจดี ไม่มีทีท่าว่าจะด่าเก่งอย่างที่ปื๊ดบอกเลย แม่ของเด็กหนุ่ม พาเข้าไปนั่งที่เก้าอี้มุกชุดใหญ่ในห้องรับแขกแล้วเริ่มต้นตัดพ้อว่าลูกชาย    
            อาตี๋ลื้อนี่ไม่ได้เป็นห่วงแม่บ้างเลยนะ หายหน้าหายตาไปไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นเลย
            “โธ่แม่ผมอยากมาเหมือนกัน แต่กลัวโดนแม่ด่า เรื่องที่ผมหนีออกไปจากบ้านน่ะซี่…”
            “แล้วมันน่าด่ามั้ยล่ะ ทำอวดดีไปเช่าอพาร์ตเม้นท์ นี่ถ้าเตี่ยลื้อไม่บอก อั๊วยังไม่รู้ว่าป่านนี้ลื้อจะไปตายห่าตายโหงที่ไหน…”
            เห็นจะจริงอย่างที่ปื๊ดบอก เพราะแม่เริ่มเปิดฉากด่าเข้าให้แล้ว
            ไม่เอาน่าแม่อย่าด่าผมต่อหน้าพี่ต้นได้มั้ยล่ะ ผมอายเขาน่ะ
            “ขอโทษนะคุณ…” หญิงสูงอายุหันมาบอกต้น แต่ไอ้ลูกชายคนนี้มันเกเรไม่เอาถ่านจริง ๆ วันนึง ๆ เอาแต่บ้าเล่นดนตรี งานการอะไรไม่ยอมทำ จะส่งไปเรียนเมืองนอกมันก็ไม่ยอมไป อั้วงี้กลุ้มใจ ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดีแล้ว…”
            “แต่คุณปื๊ดเขามีฝีมือในการเล่นดนตรีได้ไม่เลวเลยนะครับคุณนาย ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดี เขาอาจจะกลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาก็ได้….”ต้นช่วยพูดถือหางข้างปื๊ด
            เป็นนักดนตรีมันจะมีอะไรดี พวกเต้นกินรำกินดังชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ดับ อนาคตไม่แน่นอน เตี่ยมันอุตส่าห์สร้างฐานะขึ้นมาใหญ่โต มีกิจการหลายอย่างมันกลับไม่สนใจช่วยดูแล คิดแต่จะเล่นดนตรีอย่างเดียว พอว่านิดว่าหน่อยทำเป็นงอน ขนเสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน อย่างนี้มันจะใช้ได้ที่ไหน…”
            “ไม่ใช่ว่านิดหน่อยล่ะ แม่เล่นด่าผมเช้ากลางวันเย็น สามเวลาหลังอาหาร เจอหน้าก็ด่า ๆ ๆ ใครจะไปทานทนได้ปื๊ดเถียงคอเป็นเอ็น
            อั๊วไม่ได้ด่านาพูดเตือนลื้อดีๆข้างแม่ไม่ยอมลดราวาศอก ไม่อยากเห็นลื้อเป็นเกี๋ยวกุ๊ย ไม่มีอนาคต ลื้อเป็นลูกชายคนเดียวของอั๊ว จะไม่ให้อั๊วหวงลื้อได้ยังไงหาไอ้ตี๋?”
            “พูดไปก็ไลฟ์บอยน่ะแม่….ถึงยังไงผมไม่ยอมเปลี่ยนใจแน่ ผมรักดนตรีของผม ถ้าแม่จะให้ผมกลับมาอยู่บ้านอย่างเก่าแล้วเลิกเล่นดนตรี ผมไม่มีวันยอมอย่างเด็ดขาด แม่อยากด่าก็ด่าไป
            ปื๊ดยืนยันเสียงขึงขัง จนผู้เป็นแม่ชักมีอาการน้อยอกน้อยใจ นั่งทำตาแดง ๆ
            ตามใจลื้อซี่….เวลานี้บ้านมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย ถึงได้ไม่มีใครอยากอยู่อาตี๋เอ๊ยตั้งแต่ลื้อหนีออกจากบ้านไป อั๊วรู้สึกชีช้ำใจพอแล้ว เดี๋ยวนี้เตี่ยของลื้อยังเอาด้วยอีกคน มันไม่ค่อยยอมกลับมานอนบ้าน หายหัวไปทีนึงตั้งสองสามวัน ทำให้อั๊วต้องคิดมากกลุ้มใจ ไอ๊หยาอั๊วอยากตายจริง ๆ อ้า…”
            ว่าแล้วแม่ของปื๊ดก็ร้องไห้โฮออกมา ตีอกชกตัวกระทืบเร่า ๆ เหมือนเด็กๆ โดยไม่นึกอายสายตาใคร ทำให้ต้นต้องนั่งอย่างรู้สึกอึดอัดใจเต็มทน หันมองไปทางปื๊ด เห็นเขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
            “แม่อยากบ่นมากนี่นา เตี่ยเขาเลยรำคาญเอาน่ะซี่…”
            “อีรำคาญอั๊วอย่างเดียวไม่ว่า แต่นี่อั๊วแอบรู้มาว่า เตี่ยลื้อกำลังติดผู้หญิง หลงมันจนงมงายไม่ยอมลืมหูลืมตา…”
            “ไม่จริงละมั้งแม่….ถึงเตี่ยจะชอบมีอีหนูเยอะแยะแต่ผมไม่เคยเห็นเตี่ยจริงจังกับใครสักคน แม่คิดมากไปเองน่ะ…”
            “แต่รายนี้มันไม่ใช่อย่างงั้นน่ะซี่ไอ้ตี๋ มีคนบอกกับอั๊วว่าเตี่ยลื้อหลงมันมาก จนถึงกับซื้อรถซื้อบ้านให้อยู่ ไปไหนมาไหนกับมันอย่างออกหน้าออกตา มีคนเห็นอยู่บ่อย ๆ
            ปื๊ดชักเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขมวดคิ้วสงสัย
            ใครเป็นคนบอกกับแม่ล่ะ?”
            “คนที่โรงงานแต่ลื้ออย่ารู้เลยว่าใคร เขาสงสารอั๊วเลยเอาเรื่องนี้มาบอกให้อั๊วรู้ ไม่อยากให้อีนังคนนี้มันผลาญเงินเตี่ยลื้อไปจนหมดเนื้อหมดตัว ลื้อรู้มั้ยไอ้ตี๋เตี่ยลื้อหมดเงินกับอีนังนี่ไปเป็นล้านแล้ว…”
            “โหอะไรจะขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้นะแม่….”
            “แต่มันก็เป็นไปแล้วจริง ๆ ไอ้ตี๋…..ฝ่ายบัญชีโรงงานเขาบอกว่า เตี่ยลื้อเบิกเงินไปใช้ส่วนตัวตั้งเยอะแยะ แล้วจะไม่ให้อั๊วเชื่อได้ยังไง?”
            คำพูดของผู้เป็นแม่ ทำให้ปื๊ดต้องนั่งซึมอยู่นานหญิงสูงอายุยื่นมือไปแตะที่ไหล่ของลูก
            อาตี๋ที่อั๊วเรียกลื้อมาในวันนี้ เพราะอยากให้ลื้อช่วยอั๊วหน่อย ลื้ออยู่ว่าง ๆ ลองไปสืบดูที ว่าอีนังผู้หญิงคนนี้มันเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วอั๊วจะตามไปเล่นงานมันเอง ต้องจัดการกับมันให้ได้ ก่อนที่มันจะทำให้ตระกูลของเราฉิบหายล่มจม…..ช่วยอั๊วหน่อยได้ไหม ไอ้ตี๋?”
            “ทำไมแม่ไม่สืบดูเองล่ะ วัน ๆ แม่ไม่ได้ทำอะไรนี่ เอาให้เห็นกันจะ ๆ จับให้ได้คาหนังคาเขาไปเลย
            “อั๊วเคยลองทำดูแล้ว แต่มันไมได้ผล….มีคนบอกว่า มันชอบไปหาเตี่ยลื้อที่โรงงาน อั๊วไปนั่งเฝ้าอยู่หลายวันแต่ไม่เจอ คนในโรงงานไม่กล้าบอกอะไรอั๊วมากเพราะกลัวเตี่ยลื้อไล่ออก จะให้อั๊วไปบ่อย ๆ มันไม่ดีอายพวกเด็ก ๆ มัน มีลื้อคนเดียวเท่านั้นที่พอจะไว้วางใจพึ่งพาอาศัยได้ ช่วยอั๊วหน่อยเถอะนะ ไอ้ตี๋…”
            “ได้ครับแม่…..ผมจะจัดการให้เอง”  ปื๊ดหยักหน้ารับ
            ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
            ขอบใจมากอาตี๋….ถ้าลื้อช่วยอั๊วทำงานในครั้งนี้ได้สำเร็จ อั๊วจะไม่ห้ามลื้อเล่นดนตรีอีกต่อไป ขออย่างเดียวกำจัดอีนังคนนี้ออกไปให้ได้เท่านั้น
            “จริง ๆ นะแม่?”
            ปื๊ดถามย้ำเพื่อความแน่ใจ หญิงสูงอายุพยักหน้ารับรองอย่างแข็งขัน
            จริง ๆ ซี่อาตี๋เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ ลื้อหายไปเสียตั้งนานอั๊วคิดถึงลื้อจริง ๆ สั่งแม่ครัวให้ทำของที่ลื้อชอบเอาไว้เยอะแยะแล้วเชิญคุณต้นด้วยนะคะ
            ประโยคหลังหันมาบอกกับต้น
            ชายหนุ่มอยากจะปฏิเสธ เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องวนา แม่นางไม้จอมยุ่ง ที่ทำเรื่องวุ่นวายในอพาร์ตเม้นท์เมื่อตอนเช้า อยากจะรีบขอตัวกลับก่อน แต่ถูกสองแม่ลูกช่วยกันพูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้ เลยจำใจต้องอยู่กินข้าวเย็นที่บ้านนี้ด้วย