โดย...เจิด
จินตนา
๑๔
. . .
![]() |
อุ้ม อิศยา เป็น วนา |
ต้นไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
ทิ้งให้วนาอยู่ในห้องโดยลำพัง นางไม้สาวเห็นไม้กวาด
กระป๋องน้ำและไม้ถูพื้นที่ต้นซื้อมาเมื่อวานนี้
เกิดความคิดอยากจะช่วยทำความสะอาดห้องขึ้นมา
จัดแจงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงนอนแล้วชี้นิ้วไปที่ไม้กวาด
มีลำแสงเป็นประกายระยิบระยับดุจสะเก็ดดาวพุ่งออกจากนิ้วชี้ของหล่อนตรงไปหาไม้กวาด
ทำให้ไม้กวาดมีแสงเรืองออกมา
พอแสงจางหายไป ไม้กวาดที่พิงอยู่ข้างฝาห้องพลันขยับตัวเองได้ดุจมีชีวิต
เริ่มต้นลงมือกวาดเหยง ๆ ไปตามพื้นห้องอย่างขมีขมัน
นางไม้สาวชี้นิ้วตวัดเป็นวงออกไปอีกครั้งละอองสะเก็ดดาว
ก็กระจายพร่างไปสู่กระป๋องน้ำและไม้ถูพื้น
ทำให้ของทั้งสองสิ่งนั้นมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ขั้นมา
เจ้ากระป๋องน้ำพลาสติกสีแดงลอยไปที่ก๊อกน้ำในครัว
ซุกตัวเองเข้าไปอยู่ใต้ก๊อก มันรอสักครู่ใหญ่ ๆ ยังไม่มีทีท่าว่าน้ำจะยอมไหลออกมา
จึงลอยกลับไปหาวนาใช้หูหิ้วของมันสะกิดที่ต้นแขนหล่อน
วนาเหลียวมามอง เห็นกระป๋องน้ำยังว่างเปล่าอยู่ไม่มีหยดน้ำเลยสักหยด
หล่อนขมวดคิ้วหันไปมองที่ก๊อกน้ำแล้วเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ตายจริง….ขอโทษนะ…ข้าลืมไปน่ะ”
ชี้นิ้วปล่อยละอองสะเก็ดดาวไปที่ก๊อกน้ำ
จากนั้นจึงหันมาพยักหน้าให้กับถังน้ำสีแดงให้มันลอยกลับไปที่ก๊อกน้ำอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้เจ้าก๊อกน้ำยอมหมุนวาล์วปล่อยน้ำออกมาให้แก่มันแต่โดยดี
นางไม้สาวนั่งมองแล้วยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อได้น้ำเกือบค่อนถัง เจ้าถังน้ำสีแดงจึงขยับตัวลอยอย่างอุ้ยอ้ายไปที่ห้องรับแขก
ไม้ถูพื้นซึ่งรออยู่แล้วลอยตัวเองขึ้นมา เอาส่วนที่เป็นเส้นด้ายหยาบ ๆ
สีขาวซึ่งผูกรวมกันเป็นกระจุกที่ปลายไม้ จุ่มลงไปในถังน้ำแล้วจัดแจงบิดตัวเอง
ให้น้ำหยดลงไปในถังเหลือติดเส้นด้ายเพียงหมาด ๆ จากนั้นจึงลงมือถูพื้นไล่ตามเจ้าไม้กวาดไป
วนานั่งมองดูการกระทำของพวกมัน
อย่างรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินสักครู่ต่อมาจึงเริ่มมีปัญหากันอีก
เจ้าไม้ถูกพื้นจะไปถูตรงส่วนที่เจ้าไม้กวาดยังไม่ได้กวาด
เจ้าไม่กวาดไม่ยอมให้ถู ใช้ด้ามของมันตีกันออกไป เจ้าไม้ถูพื้นดึงดันที่จะถูให้ได้
จึงเปิดศึกดวลกันขึ้นมา ระหว่างที่ด้ามไม้กวาดกับด้ามไม้ถูพื้น
โดยมีเจ้ากระป๋องน้ำขยับตัวเต้นหย็องแหย็งไปมา
เหมือนกำลังเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างสุดมัน
“หยุดนะ…หยุด ! อย่าทะเลาะกัน”
นางไม้สาวทำเสียงดุร้องห้าม
ทุกอย่างหยุดกึกลงทันที ไม้กวาดกับไม้ถูพื้นยอมแยกออกจากกัน
“รอให้กวาดเสร็จก่อนแล้วค่อยถู…เจ้าไปถูที่อื่นก่อนไป๊…”
ไม้ถูพื้นยอมทำตามแต่โดยดี
ลอยไปถูตรงมุมห้องตามมือชี้ของหล่อน
รอดูสักพักจนแน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก
วนาจึงปล่อยให้พวกมันทำงานกันต่อไป ส่วนตัวของหล่อนเองหันไปทางตะกร้าใส่เสื้อผ้า
ชี้นิ้วบังคับทำแบบเดียวกัน ทำให้ตะกร้าใบนั้นลอยไปที่ก๊อกน้ำในครัว
หล่อนชี้ไปที่กะละมังซักผ้าซึ่งวางคว่ำอยู่
มันพลิกตัวหงายลอยเข้าไปใต้ก๊อกน้ำ
น้ำถูกเปิดใส่พร้อมกับเสื้อผ้าที่ลอยออกจากตะกร้าลงไปอยู่ในกะละมัง
กล่องผงซักฟอกกระดกตัวเองเทผงใส่ในกะละมังจนเกิดเป็นฟองฟูขึ้นมา
แล้วเสื้อผ้าที่ถูกแช่อยู่ในนั้นต่างเริ่มขยับตัวเองไปมาคล้ายมีคนกำลังซักขยี้พวกมันอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางไม้สาวทำให้มันเป็นไปได้เพียงแค่ชี้นิ้วบังคับเท่านั้นเอง
ในขณะที่วนา
กำลังสนุกอยู่กับการทำการบ้านโฉมศรีสาวใหญ่เจ้าของอพาร์ตเม้นท์ก็กำลังเดินสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยของห้องพักต่าง
ๆ อยู่หล่อนเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสามกวาดสายตามองไปเรื่อย ๆ
หากพบว่า
หน้าห้องไหนทำสกปรกเลอะเทอะหล่อนจะเรียกตัวเจ้าของห้องนั้นออกมาต่อว่า และถ้าเห็นมีอะไร
ชำรุดเสียหาย เจ้าของห้องต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หล่อนจะเรียกค่าเสียหายชดใช้อย่างเต็มที่
ไม่มียอมลดให้แม้สักแดงเดียว
ทุกคนที่มาเช่าห้องพักอยู่ในอพาร์ตเม้นท์แห่งนี้ต่างรู้กิตติศัพท์ความงกของหล่อนดี
สาวใหญ่เดินมาจนถึงหน้าห้องของต้น
รู้สึกมีลางสังหรณ์อย่างประหลาดทำให้ต้องชะงักฝีเท้า
ห้องนี้แหละที่ผู้เช่ารายก่อน ๆ
ต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า ถูกผีหลอกจนอยู่ไม่ได้ทุกรายไป
แต่เหตุไฉนเจ้าหนุ่มหน้ามนคนนี้ถึงทนอยู่ได้ โดยไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เกิดขึ้น
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โฉมศรีค่อย ๆ
ย่องเอาหูแนบลงไปที่บานประตู
แล้วหล่อนต้องทำหูผึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงดังกุกกักดังลอดออกมาจากภายใน
เสียงเหมือนมีคนทำอะไรอยู่ในห้อง
สาวใหญ่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างสงสัย เพราะเห็นต้นออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว
ยังสวนกับหล่อนที่หน้าออฟฟิศชั้นล่างเลย
ถ้าอย่างนั้นเป็นใครกันล่ะ กลางวันแสก
ๆ แบบนี้คงไม่ใช่ผีหรอกนะ หรืออาจจะเป็นแมว ที่ผู้เช่าห้องอยู่ชั้นสองเลี้ยงเอาไว้แอบขึ้นมาจับหนูกิน
ต้องดูให้รู้แน่ว่าเป็นอะไร
โฉมศรีล้วงลูกกุญแจสำรองพวงใหญ่ซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมา
เลือกได้ลูกกุญแจห้องต้น จัดแจงไขเปิดผัวะออกทันที
สิ่งที่เห็นปรากฏต่อสายตา
ทำให้หล่อนแทบช็อคยืนอ้าปากหวอตาค้าง
ห้องนั้นดูโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด
มีไม้กวาดกวาดพื้นย๊อกแย๊กได้เอง
ถังใส่น้ำลอยไปมาอยู่ตรงหน้าหล่อนและไม้ถูพื้นกำลังบิดตัวเองจากถังน้ำ
ถูไปตามพื้นโดยไม่มีคนจับต้อง
บนเตียงนอน
มีหญิงสาวผมยาวสวมชุดสีชมพูเรืองแสง กำลังจ้องมองมาที่หล่อนอยู่
เส้นผมทุกเส้นบนศีรษะ ลุกชูตั้งพรึ่บขึ้นมาในทันที
โฉมศรีกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง
“ว้าย ย ย ย…ผีหลอก…ผีหลอก”
รีบหันหลังกลับ
เผ่นอ้าวออกไปจากหน้าห้องต้น
“ช่วยด้วยจ้า…ผีหลอก! !”
วนารู้สึกตกใจไม่น้อย
เพราะไม่นึกว่าจะมีใครแอบเห็นเข้า หล่อนรีบโบกมือให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวลงอย่างฉับพลัน
เสียงร้องของโฉมศรีทำให้แตกตื่นกันทั้งอพาร์ตเม้นท์
หล่อนวิ่งพรวดเดียวลงมาตั้งหลักที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ชนิดที่นักวิ่งวิบากกีฬาโอลิมปิกไม่มีทางสามารถทำลายสถิติของหล่อนได้
ลุงม้วนกับแม่แจ่มโผล่หน้าออกจากห้องพักมามองดู
ทั้งคู่มีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นเส้นผมบนศรีษะของโฉมศรีฟูตั้งบานคล้ายหัวสิงโต
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
ลุงม้วนถาม
“ผี..ผีในห้องสามหนึ่งหกมันหลอกฉัน…” หล่อนละล่ำละลักบอก “โอ้ย! มันช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้”
ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามายืนดูเป็นกลุ่มใหญ่
“ข้าวของทุกอย่างในห้องน่ะ
มันลอยได้เองแล้วมีผู้หญิงนั่งอยู่บนเตียง จ้องมองมาทางฉันยังจะกินเลือดกินเนื้อ
ตางี้โตเท่ากะไข่ห่านแน่ะ…”
พูดพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้น
ทำให้หลายคนชักรู้สึกขนลุกขนพอง
“ไม่จริงล่ะมั้งเจ๊โฉม…”
ปื๊ดซึ่งยืนฟังอยู่ด้วยอดคันปากแย้งขึ้นมาไม่ได้ “เจ๊อาจจะตาฝากไปน่ะ ผีที่ไหนจะมาหลอกกันกลางวันแสก ๆ แบบนี้?”
“จริง ๆ นะตาปื๊ด…สาบานให้ก็ได้…ฉันเห็นมากับตาฉันเองเดี๋ยวนี้จริง ๆ
ให้ตายโหงตายห่าซิเอ้า!”
หล่อนลงทุนยกมือไหว้ท่วมหัวสาบาน
เด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์ชักเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเขาเองนั้นเคยเห็นผู้หญิงสาวสวยนั่งอยู่บนเตียง
ในห้องของต้นมาก่อนแล้วเหมือนกัน
“เอายังงี้…พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพิสูจน์กัน…”
ปื๊ดทำใจกล้าเสนอแนะ
แล้วก้าวเดินนำหน้าคนอื่น ๆ ขึ้นบันไดไปเป็นกลุ่มใหญ่
ความจริงโฉมศรีไม่อยากที่จะกลับขึ้นไปอีก
แต่เมื่อเห็นทุกคนพากันจ้องมองหน้าหล่อน จึงจำใจต้องเดินตามหลังไป
พร้อมกับลุงม้วนและแม่แจ่ม
ทั้งหมดเดินขึ้นมาจนถึงชั้นสาม
ประตูห้องของต้นยังคงเปิดเอาไว้อยู่ โฉมศรีชะงักฝีเท้าแค่บันไดขั้นสุดท้าย
ไม่กล้าก้าวขึ้นไปอีก เลยพลอยทำให้ทุกคนยืนจุกกันอยู่ที่บันไดนั่นเอง
ปื๊ดหันกลับมามองเห็นเข้าเช่นนั้น จึงชักงักกึกเหมือนกัน
แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆเพื่อเรียกความกล้า ค่อย
ๆเดินย่องไปที่หน้าห้องของต้นอย่างช้า ๆ
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่พากันจ้องมองไปที่เขาเป็นจุดเดียวอย่างตื่นเต้น
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่เจ๊โฉม?”
เขาชะโงกเข้าไปดูในห้อง แล้วหันมาบอก
สายตาทุกคู่เปลี่ยนจากปื๊ดมาที่โฉมศรีราวกับนัดกันเอาไว้
หล่อนยิ้มแห้ง ๆ แล้วทำใจกล้าก้าวขึ้นบันไดไป คนอื่น ๆ เลยตามกันไปเป็นพรวน
พอถึงหน้าห้องต้น ต่างแย่งกันชะเง้อคอมองเข้าไปข้างใน
ทุกอย่างเป็นปกติไม่เห็นมีอะไรอย่างที่โฉมศรีเล่าให้ฟังเป็นตุเป็นตะเลยสักนิด
บนเตียงนอนไม้สักแกะสลักนั้นว่างเปล่า
ไม่มีร่างผู้หญิงนั่งอยู่ให้เห็น โฉมศรีเดินเข้าไปดูในห้องอย่างงง ๆ
“แปลกนะ…เมื่อกี้นี้ฉันยังเห็นไม้กวาดกับไม้ถูพื้นกวาดพื้นถูพื้นเองอยู่เลยจริง ๆ
นี่ มันเกิดอะไรขึ้นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นนั่งจ้องมองฉันอยู่ตรงนี้” หล่อนชี้มือไปที่เตียง “ตอนนี้เธอหายไปไหนเสียแล้วล่ะ
ถ้าหากว่าเธอไม่ใช่ผี…”
ทุกคนต่างพากันมองโฉมศรีด้วยสายตาแปลก
ๆบางคนนึกฉุนอยู่ในใจ
ที่หล่อนทำให้ต้องตกอกตกใจและมาเสียเวลากับเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แม่แจ่มรีบเดินเข้าไปสะกิดนายจ้างสาว
“อีฉันว่าคุณนายต้องตาฝากไปแน่เลย…กลับกันดีกว่าค่ะ…”
โฉมศรียังไม่ยอมแพ้
หล่อนเห็นอะไรเป็นหลักฐานยืนยันคำพูดของตนได้ รีบหยิบมันขึ้นมาชูให้ทุกคนดู
“ดูนี่ซิเห็นมั้ย
ไม้ถูพื้นยังหมาด ๆ อยู่เลย…นี่ไง!”
ปื๊ดรับไม้ถูพื้นขึ้นมาพิจารณาดู
เห็นยังเปียก ๆ อยู่อย่างที่โฉมศรีบอกจริง ๆ
“เอ…ผมว่า พี่ต้นอาจจะถูพื้นห้อง ก่อนที่เขาจะออกไปทำงานล่ะมั้งเจ๊…”
หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับปื๊ด
แล้วค่อย ๆ สลายตัวแยกย้ายกันไป เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรในห้องนั้น ปื๊ดเอาไม้ถูพื้นวางกลับเข้าที่เดิม
“ฉันไม่ได้ตาฝากนะตาปื๊ด…ฉันเห็นทุกอย่างตามที่ฉันเล่ามาจริง ๆเชื่อฉันเถอะ…”
โฉมศรีโอดครวญอย่างน่าสงสาร
**********
ต้นยังคงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องของเขา
ชายหนุ่มนั่งทำงานอยู่ที่บริษัทจนกระทั่งบ่าย จึงเห็นปื๊ดเดินขึ่นมาหา
แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ก็ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มสู่หูต้น
เขาฟังแล้วได้แต่นั่งอมยิ้ม
“แล้วปื๊ดเชื่ออย่างที่คุณโฉมศรีเล่าให้ฟังหรือเปล่าล่ะ?”
ต้นย้อนถามเมื่อปื๊ดเล่าจบ
เด็กหนุ่มยกมือเกาหัวแกรก
“นั่นซินะ….ไหนพี่ต้นบอกว่านางไม้ไม่ได้อยู่ในห้องนั้นแล้ว ทำไมยังมีคนเห็นได้อีกล่ะ
ผมว่า…ผมเห็นเหมือนกันจริง ๆ นะพี่ต้น”
“เธออาจจะกลับมาอีกครั้งแล้วมั้ง!”
เขาแกล้งพูดเพื่อจะหยั่งปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม
“ฮ้า ! อย่าล้อเล่นน่า…” ปื๊ดทำตาโต “งั้น…งั้นที่ผมเห็นก็เป็นเธอจริง ๆน่ะซิ…”
“คงใช่มั้ง…แต่เธอไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะ…เธอเป็นนางไม้สาวที่น่ารักจริง
ๆ ไว้วันหลังพี่จะแนะนำให้ปื๊ดรู้จัก”
“ไม่ต้องหรอกนะพี่ต้น…….อย่าดีกว่า ผมยังไม่อยากจะเจอด้วย ต่อให้สวยหยาดนางฟ้ามาดินสักแค่ไหนไม่เอาทั้งนั้น”
ปื๊ดทำท่าทาง
แสดงความหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มจึงหัวเราะหึ ๆ ออกมา แล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย
“ปื๊ดอุตส่าห์มาถึงที่นี่
เพื่อจะบอกเรื่องนี้เท่านั้นเองเรอะ?”
“ยังมีอีกเรื่องนึงพี่ต้น…”
เด็กหนุ่มขยับตัวนั่งก้มหน้า สีหน้าดูเศร้าลงไป “เมื่อตอนสายแม่ผมโทร.มาหา สั่งให้ผมไปพบที่บ้าน…ใจจริงผมไม่อยากไปเลย”
“อ้าว,ไปซี่…แม่ของปื๊ดเองแท้ ๆ จะต้องกลัวอะไร…”
“มันไม่ใช่อย่างงั้นน่ะซิพี่ต้น”
น้ำเสียงของปื๊ดแสดงความอึดอัดอัดใจ “พี่ต้นยังไม่รู้อะไร
เวลาเกิดโมโหขึ้นมา แม่ผมแกด่าเป็นไฟแลบเลย…จะไม่ไปหาไม่ได้ด้วยซี่…แม่ขู่เอาไว้ว่า จะตามมาเฉ่งผมถึงห้องพัก จริง ๆ นะ…เตี่ยผมไม่น่าให้เบอร์โทร.ไปเลย…”
“แม่ของปื๊ดอาจจะมีธุระอะไรคุยด้วย
ไปหาหน่อยเถอะน่า…ไม่มีอะไรหรอก”
“งั้นพี่ต้นช่วยไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมล่ะ….บางทีเห็นมีพี่ต้นอยู่ด้วย แม่อาจจะไม่กล้าด่าผมต่อหน้าพี่…ช่วยหน่อยนะพี่ต้น!”
เด็กหนุ่มออดอ้อน
จนต้นต้องยอมรับปากไปเป็นเพื่อน
**********
บ้านที่ปื๊ดพาต้นไป
เป็นตึกหลังใหญ่สไตล์โรมันปูพื้นด้วยหินอ่อนทั้งหลัง แม่ของปื๊ดออกมาต้อนรับด้วยอาการแสดงความดีอกดีใจ
หล่อนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีรูปร่างเจ้าเนื้อ
อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไขมัน เห็นแล้วต้นยังอดนึกขำไม่ได้คนในตระกูลนี้
ล้วนแล้วแต่อ้วนท้วมสมบูรณ์กันทั้งนั้นพ่อแม่ลูกสามคนรวมกัน น้ำหนักคงเฉียด ๆ สามสี่ร้อยกิโล
ปื๊ดแนะนำต้นให้รู้จักกับแม่ของเขา
ท่าทางเป็นคนใจดี ไม่มีทีท่าว่าจะด่าเก่งอย่างที่ปื๊ดบอกเลย แม่ของเด็กหนุ่ม
พาเข้าไปนั่งที่เก้าอี้มุกชุดใหญ่ในห้องรับแขกแล้วเริ่มต้นตัดพ้อว่าลูกชาย
“อาตี๋…ลื้อนี่ไม่ได้เป็นห่วงแม่บ้างเลยนะ
หายหน้าหายตาไปไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นเลย”
“โธ่แม่…ผมอยากมาเหมือนกัน แต่กลัวโดนแม่ด่า เรื่องที่ผมหนีออกไปจากบ้านน่ะซี่…”
“แล้วมันน่าด่ามั้ยล่ะ
ทำอวดดีไปเช่าอพาร์ตเม้นท์ นี่ถ้าเตี่ยลื้อไม่บอก อั๊วยังไม่รู้ว่าป่านนี้ลื้อจะไปตายห่าตายโหงที่ไหน…”
เห็นจะจริงอย่างที่ปื๊ดบอก
เพราะแม่เริ่มเปิดฉากด่าเข้าให้แล้ว
“ไม่เอาน่า…แม่อย่าด่าผมต่อหน้าพี่ต้นได้มั้ยล่ะ ผมอายเขาน่ะ”
“ขอโทษนะคุณ…” หญิงสูงอายุหันมาบอกต้น “แต่ไอ้ลูกชายคนนี้มันเกเรไม่เอาถ่านจริง
ๆ วันนึง ๆ เอาแต่บ้าเล่นดนตรี งานการอะไรไม่ยอมทำ
จะส่งไปเรียนเมืองนอกมันก็ไม่ยอมไป อั้วงี้กลุ้มใจ ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดีแล้ว…”
“แต่คุณปื๊ดเขามีฝีมือในการเล่นดนตรีได้ไม่เลวเลยนะครับคุณนาย
ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดี
เขาอาจจะกลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาก็ได้….”ต้นช่วยพูดถือหางข้างปื๊ด
“เป็นนักดนตรีมันจะมีอะไรดี
พวกเต้นกินรำกินดังชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ดับ อนาคตไม่แน่นอน
เตี่ยมันอุตส่าห์สร้างฐานะขึ้นมาใหญ่โต มีกิจการหลายอย่างมันกลับไม่สนใจช่วยดูแล
คิดแต่จะเล่นดนตรีอย่างเดียว พอว่านิดว่าหน่อยทำเป็นงอน ขนเสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน
อย่างนี้มันจะใช้ได้ที่ไหน…”
“ไม่ใช่ว่านิดหน่อยล่ะ
แม่เล่นด่าผมเช้ากลางวันเย็น สามเวลาหลังอาหาร เจอหน้าก็ด่า ๆ ๆ ใครจะไปทานทนได้”
ปื๊ดเถียงคอเป็นเอ็น
“อั๊วไม่ได้ด่านา…พูดเตือนลื้อดีๆ” ข้างแม่ไม่ยอมลดราวาศอก “ไม่อยากเห็นลื้อเป็นเกี๋ยวกุ๊ย ไม่มีอนาคต ลื้อเป็นลูกชายคนเดียวของอั๊ว
จะไม่ให้อั๊วหวงลื้อได้ยังไงหา…ไอ้ตี๋?”
“พูดไปก็ไลฟ์บอยน่ะแม่….ถึงยังไงผมไม่ยอมเปลี่ยนใจแน่ ผมรักดนตรีของผม
ถ้าแม่จะให้ผมกลับมาอยู่บ้านอย่างเก่าแล้วเลิกเล่นดนตรี ผมไม่มีวันยอมอย่างเด็ดขาด
แม่อยากด่าก็ด่าไป”
ปื๊ดยืนยันเสียงขึงขัง
จนผู้เป็นแม่ชักมีอาการน้อยอกน้อยใจ นั่งทำตาแดง ๆ
“ตามใจลื้อซี่….เวลานี้บ้านมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย
ถึงได้ไม่มีใครอยากอยู่อาตี๋เอ๊ย…ตั้งแต่ลื้อหนีออกจากบ้านไป
อั๊วรู้สึกชีช้ำใจพอแล้ว เดี๋ยวนี้เตี่ยของลื้อยังเอาด้วยอีกคน มันไม่ค่อยยอมกลับมานอนบ้าน
หายหัวไปทีนึงตั้งสองสามวัน ทำให้อั๊วต้องคิดมากกลุ้มใจ ไอ๊หยา…อั๊วอยากตายจริง ๆ อ้า…”
ว่าแล้วแม่ของปื๊ดก็ร้องไห้โฮออกมา
ตีอกชกตัวกระทืบเร่า ๆ เหมือนเด็กๆ โดยไม่นึกอายสายตาใคร
ทำให้ต้นต้องนั่งอย่างรู้สึกอึดอัดใจเต็มทน หันมองไปทางปื๊ด เห็นเขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“แม่อยากบ่นมากนี่นา
เตี่ยเขาเลยรำคาญเอาน่ะซี่…”
“อีรำคาญอั๊วอย่างเดียวไม่ว่า
แต่นี่อั๊วแอบรู้มาว่า เตี่ยลื้อกำลังติดผู้หญิง หลงมันจนงมงายไม่ยอมลืมหูลืมตา…”
“ไม่จริงละมั้งแม่….ถึงเตี่ยจะชอบมีอีหนูเยอะแยะแต่ผมไม่เคยเห็นเตี่ยจริงจังกับใครสักคน
แม่คิดมากไปเองน่ะ…”
“แต่รายนี้มันไม่ใช่อย่างงั้นน่ะซี่ไอ้ตี๋
มีคนบอกกับอั๊วว่าเตี่ยลื้อหลงมันมาก จนถึงกับซื้อรถซื้อบ้านให้อยู่
ไปไหนมาไหนกับมันอย่างออกหน้าออกตา มีคนเห็นอยู่บ่อย ๆ”
ปื๊ดชักเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ขมวดคิ้วสงสัย
“ใครเป็นคนบอกกับแม่ล่ะ?”
“คนที่โรงงาน…แต่ลื้ออย่ารู้เลยว่าใคร เขาสงสารอั๊วเลยเอาเรื่องนี้มาบอกให้อั๊วรู้
ไม่อยากให้อีนังคนนี้มันผลาญเงินเตี่ยลื้อไปจนหมดเนื้อหมดตัว
ลื้อรู้มั้ยไอ้ตี๋เตี่ยลื้อหมดเงินกับอีนังนี่ไปเป็นล้านแล้ว…”
“โห…อะไรจะขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้นะแม่….”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วจริง
ๆ ไอ้ตี๋…..ฝ่ายบัญชีโรงงานเขาบอกว่า
เตี่ยลื้อเบิกเงินไปใช้ส่วนตัวตั้งเยอะแยะ แล้วจะไม่ให้อั๊วเชื่อได้ยังไง?”
คำพูดของผู้เป็นแม่
ทำให้ปื๊ดต้องนั่งซึมอยู่นานหญิงสูงอายุยื่นมือไปแตะที่ไหล่ของลูก
“อาตี๋…ที่อั๊วเรียกลื้อมาในวันนี้ เพราะอยากให้ลื้อช่วยอั๊วหน่อย ลื้ออยู่ว่าง ๆ
ลองไปสืบดูที ว่าอีนังผู้หญิงคนนี้มันเป็นใคร อยู่ที่ไหน
แล้วอั๊วจะตามไปเล่นงานมันเอง ต้องจัดการกับมันให้ได้
ก่อนที่มันจะทำให้ตระกูลของเราฉิบหายล่มจม…..ช่วยอั๊วหน่อยได้ไหม
ไอ้ตี๋?”
“ทำไมแม่ไม่สืบดูเองล่ะ
วัน ๆ แม่ไม่ได้ทำอะไรนี่ เอาให้เห็นกันจะ ๆ จับให้ได้คาหนังคาเขาไปเลย”
“อั๊วเคยลองทำดูแล้ว
แต่มันไมได้ผล….มีคนบอกว่า มันชอบไปหาเตี่ยลื้อที่โรงงาน
อั๊วไปนั่งเฝ้าอยู่หลายวันแต่ไม่เจอ คนในโรงงานไม่กล้าบอกอะไรอั๊วมากเพราะกลัวเตี่ยลื้อไล่ออก
จะให้อั๊วไปบ่อย ๆ มันไม่ดีอายพวกเด็ก ๆ มัน
มีลื้อคนเดียวเท่านั้นที่พอจะไว้วางใจพึ่งพาอาศัยได้ ช่วยอั๊วหน่อยเถอะนะ ไอ้ตี๋…”
“ได้ครับแม่…..ผมจะจัดการให้เอง” ปื๊ดหยักหน้ารับ
ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“ขอบใจมากอาตี๋….ถ้าลื้อช่วยอั๊วทำงานในครั้งนี้ได้สำเร็จ
อั๊วจะไม่ห้ามลื้อเล่นดนตรีอีกต่อไป ขออย่างเดียวกำจัดอีนังคนนี้ออกไปให้ได้เท่านั้น”
“จริง ๆ นะแม่?”
ปื๊ดถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
หญิงสูงอายุพยักหน้ารับรองอย่างแข็งขัน
“จริง ๆ ซี่อาตี๋…เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ ลื้อหายไปเสียตั้งนานอั๊วคิดถึงลื้อจริง
ๆ สั่งแม่ครัวให้ทำของที่ลื้อชอบเอาไว้เยอะแยะแล้ว…เชิญคุณต้นด้วยนะคะ”
ประโยคหลังหันมาบอกกับต้น
ชายหนุ่มอยากจะปฏิเสธ
เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องวนา แม่นางไม้จอมยุ่ง
ที่ทำเรื่องวุ่นวายในอพาร์ตเม้นท์เมื่อตอนเช้า อยากจะรีบขอตัวกลับก่อน แต่ถูกสองแม่ลูกช่วยกันพูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้
เลยจำใจต้องอยู่กินข้าวเย็นที่บ้านนี้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น