โดย...เจิด จินตนา
๑๘ . . .
“ทีแรกผมไม่เชื่อเหมือนกับคุณนี่แหละ…แต่เมื่อเห็นเธอแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ
ออกมาถึงต้องยอมรับว่าเธอเป็นนางไม้จริง เพราะคนธรรมดาคงไม่สามารถทำอะไรแปลกๆ
อย่างเช่นการล่องหนหายตัว หรือเคลื่อนย้ายสิ่งของโดยที่ไม่ได้จับต้องเลยไม่ได้อย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มพยายามอธิบาย จนสองสาวชักมีความรู้สึกคล้อยเห็นตาม เพราะทั้งคู่เคยเห็นวนาทำในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
ตามที่ต้นบอกมาแล้วเหมือนกัน จากเหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่ได้พบประสบมากับตัวเอง เป็นสิ่งยืนยันคำพูดของเขา วนาต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ “แล้วทำไมคุณวนาถึงยอมให้พี่ต้นอยู่ด้วยล่ะ?” ตุ่มถามด้วยความรู้สึกข้องใจ “ผมกับเธอเราทำความตกลงกันว่าเราจะต่างคนต่างอยู่
ไม่ก้าวก่ายล้วงล้ำสิทธิซึ่งกันและกัน ถึงได้อยู่ร่วมกันได้
คุณวนาเธอไม่ได้มีจิตใจโหดร้ายอะไรหรอกครับถ้าคุณแตนกับตุ่มได้ทำความรู้จักกับเธอ
อาจจะเกิดชอบธอขึ้นมา”
“เชอะ ! จ้างให้แตนไม่เอาด้วยหรอก
แตนไม่บ้าเหมือนพี่ต้นนี่…อยู่ดีๆ ไปคบกับผีสางนางไม้
ไว้วางใจมันได้แค่ไหนกัน” “แต่คุณวนาเธอเป็นนางไม้ที่ใจดีจริง ๆนะครับคุณแตน เธอไม่ทำอะไรใครหรอก
ถ้าไม่ไปทำให้เธอโกรธขึ้นมาเสียก่อน “ ชายหนุ่มพูดโน้มน้าวจิตใจให้สองสาวมองวนาในแง่ดี
แต่แตนกลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง “พี่ต้นคงจะเกิดหลังรักมันขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“พูดเป็นเล่นไปได้คุณแตน…ผมเป็นคนจะไปรักกับนางไม้ได้ยังไงกัน
คุณนี่ช่างหึงไม่เข้าเรื่องเอาเลยจริงๆ” “อย่ามาแก้ตัวดีกว่า เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพี่ต้นพยายามช่วยปกป้องมัน
แตนบอกให้ไล่มันไปพี่ต้นไม่ยอมไล่ เรื่องกิ๊บติดผมนั่นก็เหมือนกัน
แตนเพิ่งรู้ความจริงว่าพี่ต้นซื้อให้มันไม่ใช่แตน พี่ต้นเห็นนังผีตนนั้นมีความสำคัญมากกว่าแตน
แล้วจะให้คิดว่ายังไง?” “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว…เรื่องกิ๊บติดผมนั่น
ผมซื้อให้คุณวนาจริง แต่มันเป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ
ที่ผมให้กับเธออย่างเป็นมิตรเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือไปกว่านั้นเลย…ในเมื่อคุณอยากได้จริง ๆ คุณวนาเลยให้ผมเอามาให้คุณแล้ว…อยู่นี่ไง” เขาล้วงกิ๊บติดผมคู่นั้นออกมาจากกะเป๋าเสื้อ ยื่นส่งให้หญิงสาว
แต่แตนกลับปัดมือของเขาอย่างแรงจนกระเด็นหล่นไปที่พื้น “อะไรกันนี่คุณแตน?
“แตนไม่อยากได้ของเหลือเดนจากใคร…” เขาแทบสะอึก ที่หญิงคนรักดูท่าทางไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย แต่พยายามระงับความรู้สึกไม่แสดงอะไรออกมา
“มันไม่ใช่ของมีค่าอะไร ดีเหมือนกัน…ทิ้งมันไปเสียจะได้หมดเรื่องหมดราว”
เห็นเพื่อนทำกิริยาไม่ดีงามเช่นนั้นกับชายหนุ่มตุ่มรู้สึกตกใจไม่น้อยเช่นกัน
ได้แต่ช่วยพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อันเลวร้ายให้มันดีขึ้น แต่แตนยังคงไม่ยอมลดละ
กลับทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด “ไม่รู้ล่ะ….พี่ต้นต้องย้ายออกจากห้องนั้นแล้วเลิกติดต่อกับมันอีกอย่างเด็ดขาด”
หล่อนยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง
จนชายหนุ่มต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ได้แต่นั่งส่ายหน้า “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับคุณแตน”
“ก็แสดงว่าพี่ต้นหลงรักมันจริง” แตนพูดไปทำตาแดง ๆ
เหมือนกับจะร้องไห้ น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ “พี่ต้นนะพี่ต้น…แตนนึกไม่ถึงเลยว่าพี่ต้นจะทำกับแตนแบบนี้” “โธ่
ผมบอกคุณแล้วยังไงว่า ผมไม่ได้รักคุณวนาเลยจริง ๆ คุณแตนอย่าเข้าใจผิดซี่” “แล้วพี่ต้นมีเหตุผลอะไรล่ะ ถึงไม่ยอมย้ายออกมา?” ตุ่มถามอย่างข้องใจ “ถ้าผมย้ายออกมา ห้องนั้นจะต้องมีคนเข้าไปเช่าอยู่ใหม่
แล้วมีเรื่องุว่นวายกันไปอีกอย่างไม่รู้จบเพราะคุณวนาไม่ยอมให้ใครเข้าไปจุ้นจ้านในห้องของเธอ”
“ช่างหัวมันไปซี่….” ตุ่มพูดเสียงห้วนชักรู้สึกไม่พอใจขึ้นแล้วเหมือนกัน
“คุณวนาเธอไม่ใช่คนยังไงคงเอาตัวรอดได้แน่
ทำไมพี่ต้นจะต้องไปแคร์ด้วยเล่า?” “เธอมีความจำเป็นจะต้องอยู่เฉพาะในห้องนั้น เพราะไม่มีที่อื่นจะไปอย่างน้อยที่สุดพี่ควรมีน้ำใจช่วยเหลือเธอบ้าง…..เลิกคิดตั้งแง่รังเกียจคุณวนาเสียเถอะนะยัยตุ่ม คุณแตน
ปล่อยให้เธอได้อยู่อย่างสงบสุขในห้องนั้นเถอะ…ผมขอร้องล่ะ”
แตนลุกพรวดยืนทำตาขวาง “ให้พี่ต้นอยู่กับมันน่ะเหรอ
เป็นตายยังไงแตนก็ไม่ยอม ถ้าพี่ต้นไม่ยอมย้ายออกมาจากห้องนั้น
และยังคิดที่จะปกป้องอีนังผีร้ายนั่นอยู่อีก เราจะได้เห็นดีกันแน่…กลับได้แล้วยัยตุ่ม”
หล่อนหันไปบอกเพื่อนสาวแล้ว ชวนกันลุกออกจากโต๊ะไป
ปล่อยให้ต้นนั่งซึ่มอยู่ตรงนั้นคนเดียว มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพนักงานในร้านเดินเข้ามาถาม “จะรับอะไรดีครับคุณ?”
ต้นสะดุ้งนิด ๆ เงยหน้าขึ้นมองแล้วรีบปฏิเสธ “ไม่หรอกครับ…ช่วยเช็คบิลให้ด้วย”
พนักงานคนนั้นหายไปสักครู่ จึงกลับมาพร้อมกับบิลค่าอาหาร
ชายหนุ่มควักกระเป๋าหยิบเงินจ่ายไป แล้วลุกเดินออกมาที่หน้าร้าน
เขาเห็นแตนกำลังจะถอยรถออกจากที่จอดริมฟุตบาธพอดี “เดี๋ยวก่อนคุณแตน”
ชายหนุ่มโบกมือเรียก แต่หล่อนไม่ยอมหยุดรถกลับเร่งเครื่องขับปราดออกไปทันที ต้นยืนมองตามหลังฮอนด้าซีวิคสีแดงคันนั้นไปจนลับสายตา
เขายืนนิ่งอยู่ตรงริมฟุตบาธนั้น สมองรู้สึกอื้ออึงสับสนไปหมด เขากับแตนคงจะไม่มีอันพูดจากันเข้าใจแน่
สำหรับเรื่องนี้ชักรู้สึกหวั่นใจในคำพูดที่หล่อนทิ้งท้ายเอาไว้
ต้นรู้นิสัยของหญิงคนรักดี หล่อนเป็นคนไม่มีทางยอมแพ้อะไรใครง่าย ๆ
คงต้องคิดหาหนทางอะไรสักอย่าง เพื่อทำการตอบโต้วนาตามคำขู่อย่างแน่นอน ********** ปื๊ดนั่งเอามือเท้าคางซึมอยู่หน้าโต๊ะไม้หินขัด
ข้างสนามหญ้าหน้าอพาร์ตเม้นท์ ข้างกายเขาคือหนึ่ง โจและเอกแต่ละคนต่างมีอาการคล้าย
ๆ กัน สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล อ๊อดรับอาสาขี่มอเตอร์ไซค์ของปื๊ด
สะกดรอยตามอรอนงค์แต่กลับเงียบหายต๋อมไปเลย ทุกคนเฝ้ารอคอยการกลับมาส่งข่าวของเขาอยู่ในห้องปื๊ดอย่างใจจดใจจ่อ
รอแล้วเฝ้ารอเล่าจนอดรนทนไม่ไหว ต้องยกโขยงลงมานั่งรอต่อ
ที่สนามหญ้าหน้าอพาร์ตเม้นท์นี้ เวลาผ่านพ้นไปตั้งเกือบครึ่งค่อนวัน
ยังไม่เห็นมีวี่แววเลยสักนิดว่าอ๊อดจะกลับมา “ไอ้หอกอ๊อดมันหายหัวไปไหนของมันวะ
จนป่านนี้แล้วยังไม่ยอมกลับมาเสียที”
ทนรอหน้าเข้าปื๊ดชักหัวเสีย นึกเคืองใจในความเป็นคนเหลวไหลของเพื่อน “มันอาจจะถือโอกาส
เอารถมึงไปโฉบอวดสาว ๆ น่ะซีวะ…ไอ้ปื๊ด” หนึ่งคาดคะเนเอาตามความรู้สึก เมื่อเห็นว่ามันชักจะนานจนผิดปกติ “เฮ้ย ไม่หรอกน้าไอ้บ้า…ใช้มันไปทำธุระสำคัญขนาดนี้ มันคงไม่กล้าเถลไถลไปไหนหรอกวะ” โจออกความเห็น “หรือมันโดนตำรวจซิวไปซะแล้ว…”
เอกพูดโพล่งขึ้นมาลอย ๆ “ไอ้อ๊อดมันไม่มีใบขับขี่เสียด้วยซิ”
โจพยักหน้าหงึกเห็นคล้อยตามหันไปมองหน้าปื๊ด “จริงซิวะไอ้ปื๊ด ลองโทร.ไปถามที่โรงพักดูกันดีกว่า”
พูดแล้วทำท่าจะลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์กลับกดไหล่ของเขาเอาไว้ “มึงไม่น่าเซ่อเลย…ไอ้โจ ถ้ามันอยู่โรงพักจริง ๆ ต้องโทร.มาบอกเราแล้วซิวะ”
จริงอย่างที่ปื๊ดว่า
โจเลยต้องทิ้งตัวลงนั่งตามเดินสี่สหายนั่งเท้าคางมองหน้ากันทำตาปริบ ๆ
เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไปกว่านี้
แต่คนต่างไม่เข้าใจเพราะสาเหตุอะไรอ๊อดถึงไม่รีบกลับมา ตะวันบ่ายคล้อยไปมากแล้ว
ต้นเดินเข้าประตูรั้วอพาร์ตเม้นท์มาอย่างเนือยๆ ด้วยความกลัดกลุ้มใจ ที่ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง
ระหว่างวนากับแตนได้ เขาเหลือบเห็นเด็กหนุ่มทั้งสี่ นั่งจับกลุ่มทำอากัปกิริยาแปลกๆ
อยู่ที่โต๊ะม้าหินขัด รู้สึกแปลกใจจนต้องเดินเข้าไปหา “เป็นอะไรไปกันหมดน่ะ นั่งซึมเชียว?”
ปื๊ดกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พอได้ยินต้นร้องทักจึงเงยหน้าขึ้นมอง “อ้าว พี่ต้นกลับมาแล้วเหรอนั่งก่อนซิครับ”
เขาขยับที่ให้ชายหนุ่มนั่งลงบนม้าหินขัดตัวเดียวกัน “กำลังประชุมวางแผนอะไรกันอยู่หรือไง?”
“ใช่….” ปื๊ดพยักหน้ารับ
“เรื่องที่ผมบอกกับพี่ต้นเมื่อเช้านี้แหละครับ”
“แล้วเป็นไง…สืบได้เรื่องว่ายังไงบ้างล่ะ?” “รู้ตัวแล้วครับพี่ต้น…” เจ้าเอกแย่งตอบ “เมียน้อยของเตี่ยไอ้ปื๊ดชื่ออรอนงค์ หุ่นเซ็กซี่น่าฟัดเป็นบ้าเลยพี่” “ชื่ออรอนงค์เหรอ?” ต้นพึมพำเบา ๆ ขมวดคิ้วนั่งนึก
ดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “ถูกแล้ว….พี่ต้นรู้จักเหรอ?”
โจเกิดความสงสัยเพราะเห็นชายหนุ่มนั่งทำท่าหน้านิ้วคิ้วขมวด “ใช่….ดูเหมือนจะเคยเห็นที่โรงงานของเตี่ยปื๊ดขับรถบีเอ็มสีเปลือกมังคุด”
“นั่นแหละๆ คนนั้นแหละ” ปื๊ดหยักหน้ารับหงึกหงัก
แล้วจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างสงสัย “พี่ต้นรู้จักได้ยังไง?” “วันแรกที่ไปติดต่อเรื่องประกันกับเตี่ยของปื๊ด
พี่เกือบถูกเธอขับรถชนเอาตรงหน้าออฟฟิศ เลยรู้จักกัน” ต้นนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่แท้ผู้หญิงคนนี้เองที่เป็นเมียน้อยของเสี่ยกำชัย
เขายอมรับว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากจริง ๆ มิน่าล่ะ เตี่ยของปื๊ดจึงได้หลงใหลในตัวหล่อนนัก “ผมให้ไอ้อ๊อดมันเอารถมอเตอร์ไซค์ของผมสะกดรอยตามไปดู
ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ไหน แต่จนป่านนี้ไอ้อ๊อดยังไม่เห็นกลับมาเลย” เด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์บอกกับต้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความกังวล “ดูเหมือนว่าเธอจะให้เบอร์โทรศัพท์ของเธอเอาไว้ด้วย”
ต้นดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา ค้นหากระดาษแผ่นเล็ก ๆ
ที่อรอนงค์จดเบอร์โทรศัพท์ให้เขา แล้วหยิบออกมาให้ปื๊ดดู “นี่ยไงไงล่ะ”
“ว้าว! เยี่ยมจริง ๆ พี่ต้น” ปื๊ดอุทานออกมาอย่างดีใจ “ถ้ารู้อย่างงี้เสียแต่แรก
เราคงไม่ต้องมานั่งเสียเวลา ให้ไอ้อ๊อดมันคอยสะกดรอยตามให้เมื่อยหรอก….ขอผมเลยนะครับพี่ต้น” “เอาไปเถอะปื๊ด….พี่ไม่รู้จะเก็บเอาไว้ทำไมเหมือนกัน” เด็กหนุ่มเก็บเบอร์โทรศัพท์ใส่กระเป๋า นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
กระดาษแผ่นเล็ก ๆ
แผ่นนี้จะเป็นกุญแจเปิดเผยโฉมหน้าผู้หญิงที่จะมาสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของตนได้เป็นอย่างดี
เมื่อสามารถกำจัดหล่อนจนพ้นทางแล้ว แม่คงจะอนุญาตให้เขาเล่นดนตรีได้อย่างสบายใจ
ตามที่รับปากเอาไว้ เสียงรถตุ๊ก
ๆ แผดลั่นคับซอยสักครู่หนึ่งจึงเลี้ยวเข้ามาในอพาร์ตเม้นท์แล้วดับเครื่องจอดใกล้ ๆ
กับโต๊ะม้าหินขัด ที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้นั่งอยู่ ทุกคนต่างพากันเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งมาในรถตุ๊ก
ๆ คืออ๊อดนั่นเอง ตามเนื้อตามตัวของเขามีพลาสเตอร์ปิดแผลปิดอยู่เสื้อผ้าขาดวิ่นมอมแมม
และที่สำคัญคือ รถมอเตอร์ไซค์ของปื๊ด ถูกวางนอนมาในรถ ล้อหน้าบิดงอ
ชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ พังยับจนแทบจะจำสารรูปไม่ได้ “ไอ้อ๊อด….มึงทำอะไรกับรถของกู?”
แทนที่จะห่วงเพื่อน ปื๊ดกลับเป็นห่วงรถมอเตอร์ไซค์มากกว่า
รีบลุกพรวดพราดมาดู เห็นสภาพอันเละเทะของรถคันโปรดแล้วแทบจะเข่าอ่อน
กระโดดขึ้นรถตุ๊ก ๆ ไล่ทุบอ๊อดอุตลุดด้วยความโมโหจัด “เฮ้ย !
อย่าไอ้ปื๊ด! เดี๋ยวมันตายห่าเสียก่อนหรอก!”
เอกร้องห้ามเสียงหลง พวกเพื่อน ๆ วิ่งเข้ามาช่วยกันดึงตัวปื๊ดลงจากรถตุ๊ก
ๆ แล้วยกรถมอเตอร์ไซค์ลงมาตั้งบนพื้น
ต้นเข้าไปช่วยประคองอ๊อดลงจากรถมองดูสารรูปของเขาอย่างรู้สึกสมเพชเวทนา “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะอ๊อด ไปโดนอะไร?”
“ผมถูกผู้หญิงคนนั้นเล่นงานเอาครับพี่ต้น” “แล้วทำไมมีงไม่โทร.มาบอกวะ
ปล่อยให้เรานั่งเป็นห่วงกันทั้งวัน ?” เจ้าโจตัดพ้อต่อว่า “กูไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียวกระเป๋าตังค์ไม่รู้หล่นหายไปไหน ยังดีที่มีคนใจบุญพากูไปส่งโรงพยาบาล”
ต้นควักกระเป๋าเอาเงินค่ารถตุ๊กๆ จ่ายให้กับคนขับ
พอได้เงินแล้วโชเฟอร์รถตุ๊กๆ คันนั้นจึงขับออกไปทันที
ทุกคนช่วยกันประคับประคองอ๊อด พามานั่งลงที่โต๊ะม้าหินขัด ปล่อยให้ปื๊ดยืนลูบ ๆ
คลำ ๆ สำรวจความเสียหายรถมอเตอร์ไซค์ของเขาไปคนเดียว “เรื่องมันเป็นยังไง…ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ?” ต้นถามแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้าง
ๆ อ๊อด คนอื่น ๆ ซึ่งอยากรู้เรื่องเหมือนกันต่างพากันนั่งล้อมวงคอยฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กหนุ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที้เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังจนหมดสิ้น
ตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ของปื๊ดสะกดรอยตามอรอนงค์ไปจากหน้าโรงงานทอผ้า
จนกระทั่งถูกหล่อนถอยรถออกมาขวางถนน เป็นเหตุให้ต้องหักหลบลงคูข้างทางไป “โม้เหรอเปล่าวะไอ้อ๊อด
มันไม่เว่อร์ไปหน่อยหรือ?” เจ้าเอกตั้งข้อกังขา
เพราะเรื่องที่เพื่อนเล่ามาเหมือนกับในหนังประเภทบู๊ล้างผลาญไม่มีผิด “ให้ตายโหงตายห่าซีเอ้า อีนังคนนี้มันใจเด็ดจริงๆ” เด็กหนุ่มดวงซวยลงทุนยกมือท่วมหัวสาบาน
ทำให้ทุกคนทึ่งไปตาม ๆ กัน ปื๊ดซึ่งคอยเงี่ยหูฟังอยู่เดินเข้ามาตบไหล่อ๊อดเบาๆ “มึงทำดีสุดแล้วอ๊อด กูขอโทษโว้ย
เพราะไม่นึกว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้”
“กูต้องขอโทษเหมือนกัน ที่ทำให้รถมึงพังเสียก่อน
เลยไม่รู้ว่าอีนังคนนี้มันอยู่ที่ไหน” “ไม่เป็นไรหรอก พี่ต้นรู้จักกับมันดี ให้เบอร์โทรศัพท์กูไว้แล้ว
เรื่องนี้กูจะจัดการเอง จะหาทางแก้เผ็ดมันให้สาสมเชียวมึง” “แล้วรถล่ะ จะทำยัง?” ปื๊ดเหลียวไปมองดูรถมอเตอร์ไซค์คันโปรด ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ใจ “เงินกูมีไม่พอจะส่งไปซ่อมเสียด้วยซิ
เห็นท่าจะต้องลงมือซ่อมเองให้พอใช้ได้ไปก่อน”
“พวกกูจะช่วยมึงเอง…” เจ้าโจขานอาสา “ก่อนอื่นช่วยกันถอดล้อออกมา
ให้ไอ้เอกกับไอ้หนึ่งเอาไปตัดที่ร้านตรงปากซอย” ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน ช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น
เข้าไปในลานจอดรถที่ใต้ถุนอพาร์ตเม้นท์เพื่อไม่ให้เป็นที่เกะกะของรถคันอื่นที่จะเข้าออก
แล้วลงมือช่วยกันรื้อชิ้นส่วนที่ชำรุดเสียหายอย่างขะมักเขม้น “พี่ขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
เดี๋ยวจะลงมาช่วยนะปื๊ด”
ต้นบอกเด็กหนุ่มร่างอ้วน แล้วรีบเดินผละขึ้นบันไดอพาร์ตเม้นท์ไป ชายหนุ่มไขกุญแจห้องของเขา
เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดหยิบกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดตัวเก่า ๆ ออกมาหันมองดูรอบๆ
ไม่เห็นนางไม้สาวอยู่ในห้องแต่ยังไม่ค่อยอยากไว้ใจ
เพราะหล่อนอาจจะหายตัวแฝงอยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ พอกลับออกมา
เขาจึงเห็นวนากำลังนั่งจ้องมองอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าสงสัย “จะไปไหนหรือคะ คุณต้น?”
“ไปช่วยปื๊ดซ่อมรถมอเตอร์ไซค์หน่อยน่ะครับ” “อ้าว รถของคุณปื๊ดเป็นอะไรไปหรือคะ?” นางไม้สาวก้าวลงจากเตียงเดินเข้ามาหา
ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟังอย่างคร่าว ๆ “นับว่าอ๊อดโชคดียังดีเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อย
แต่รถมอเตอร์ไซค์ของปื๊ดน่ะซิ เสียหายเยอะเลย ค่าซ่อมยังไม่มี
เลยต้องลงมือทำกันเอง”
“น่าสงสารนะ วนาขอไปด้วย เดี๋ยวจะไปช่วยเอง” หล่อนรับอาสาเมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว “ผมว่าอย่าดีกว่านะครับ คุณวนาทำไม่เป็นหรอกเลอะเทอะเปล่าๆ”
ต้นตั้งท่าดูถูก เพราะเห็นหล่อนเป็นผู้หญิง “เอาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้” หล่อนยังยืนกรานความตั้งใจ “แล้วจะไปยังไง แต่งชุดนี้น่ะหรือ?”
ต้นถาม พร้อมกับมองดูกระโปรงยาวสีชมพูเรืองแสงที่หล่อนสวมใส่อยู่
วนายิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แล้วหมุนตัวไปรอบ ๆ
กระโปรงยาวชุดนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด แบบเดียวกับชุดของต้นไม่มีผิด ********** ปื๊ดกับหนึ่งเอก และโจกำลังช่วยกันปลุกปล้ำถอดล้อรถมอเตอร์ไซค์อยู่ อ๊อดซึ่งยังบาดเจ็บอยู่ได้แต่นั่งยองๆ
คอยเอาใจช่วย แต่แกนล้อซึ่งบิดงอ ทำให้ไม่ได้สามารถขันน็อตออกมาได้ แม้จะพยายามดูแล้วทุกวิถีทาง “ไอ้ห่า ทำไมถอดยากถอดเย็นนักวะ?”
ปื๊ดบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย “เกลียวมันขัดอยู่
ต้องหาอะไรมาเคาะแกนล้อให้มันตรงถึงจะถอดออกได้มั้งกูว่า” เจ้าโจออกความเห็น “เออ…จริงด้วย!”
งั้นเราไปช่วยกันหาอะไรมาเคาะมันก่อนดีกว่า”
ปื๊ดวางปากตายลงแล้วลุกขึ้นยืน พอดีต้นกับวนาเดินเข้ามา “ไปถึงไหนแล้วล่ะ?” ชายหนุ่มถาม เมื่อเห็นทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม “แกนล้อมันคด
ถอดน็อตไม่ออกน่ะพี่ต้น ผมจะไปหาอะไรมาจัดการกับมันก่อน”
ปื๊ดบอก แล้วชวนเพื่อน ๆ
เดินออกจากลานจอดรถ ทิ้งให้ต้นอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์กับวนาตามลำพัง นางไม้สาวยื่นมือไปจับบังโลนที่บิดงอยู่ยี่
ลองโยกดูแล้วทำหน้าเบ้ “เสียหายมากไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะคุณต้น”
“ยังดีที่ไม่กลายเป็นเศษเหล็กไป คุณปื๊ดรักรถคันนี้มากเสียด้วยซิครับ” “งั้นหรือคะ?” วนาหันมายิ้มให้กับเขา แล้วยกมือแตะเบา ๆ
ที๋แฮนด์มอเตอร์ไซค์มีประกายแสงระยิบระยับ คล้ายกับสะเก็ดดาวไหลพรั่งพรูออกมาจากฝ่ามือของหล่อน
เข้าครอบคลุมมอเตอร์ไซค์คันนั้น จนแลดูสว่างไสว ในบัดดล
มอเตอร์ไซค์ทั้งคันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
ไม่มีร่องรอยของความเสียหายปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แทนที่ต้นจะดีใจ
วนากลับเห็นต้นยืนทำหน้าพิกล “นี่หรือวิธีช่วยซ่อมของคุณ แล้วจะบอกปื๊ดกับเพื่อนๆ
ว่ายังไงล่ะ?”
“มันไม่ใช่ของมีค่าอะไร ดีเหมือนกัน…ทิ้งมันไปเสียจะได้หมดเรื่องหมดราว”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น