วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เตียงนางไม้ ตอนที่ 26

โดย...เจิด จินตนา
๒๖...


            ต้นตื่นนอนตั้งนานแล้ว  ยังอิดๆ เอื้อนๆ อยู่  ไม่ยอมแต่งตัวไปทำงานเสียที  หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อคืนนี้แล้ว  ทำให้เขามีความห่วงใยวนาเป็นอันมาก           
            มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ซึ่งเขาบอกกับตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ยิ่งมีความสนิทสนมกับนางไม้สาวมากเท่าไหร่ ต้นยิ่งเห็นหล่อนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา รู้สึกหวงแหน ไม่อยากให้หล่อนต้องพลัดพรากจากเขาไป  
            แม้หล่อนจะเป็นเพียงวิญญาณ แต่ความน่ารัก และอิริยาบทต่างๆ ทำให้ต้นรู้สึกมีความสดชื่นอย่างประหลาดเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดด้วย
            “สายมากแล้วยังไม่ไปทำงานอีกหรือคะคุณต้น?”
            วนาเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นเขานั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเป็นเวลานานแล้ว
            “ผมไม่อยากไปเลยจริงๆ เป็นห่วงคุณวนา” 
            “หมอฉุยได้รับบทเรียนไปมาก ไม่กล้ากลับมาก่อเรื่องอีกแล้วล่ะค่ะ
            “คนอื่นอาจจะไม่ แต่สำหรับคุณแตนแล้ว เธอเป็นคนชอบเอาชนะ นี่แหละคือสิ่งที่ผมเป็นห่วง
            “ทำใจให้สบายดีกว่า วนายังไม่เห็นรู้สึกกลัวอะไรเลย คุณแตนเธอทำอะไรวนาไม่ได้หรอกค่ะ ห่วงแต่คุณต้นเองเถอะ เข้าข้างวนาถึงขนาดนี้ ไม่กลัวเธอโกรธเอาหรือ?
            “นั่นน่ะซิครับ เป็นเรื่องที่แปลกมากในตอนนั้นผมไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากความเป็นห่วงคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ป่านนี้เธอคงจะโกรธผมจนแทบไม่อยากมองหน้าพูดจากันเลย
            “คุณต้นคงจะรักคุณแตนมากซินะคะ?”
            “เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่เมื่อเห็นเธอพยายามคิดร้ายต่อคุณ โดยไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรเลย ผมชักจะไม่แน่ใจเหมือนกัน…”
            ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดสับสนอยู่ในใจ
            “ผู้หญิงเมื่อปักใจรักใครย่อมมีความหึงหวงในตัวชายที่เธอรัก และมักทำอะไรลงไปโดยไม่มีการคำนึงถึงเหตุผล คุณแตนเธอคงไม่ได้โกรธอะไรคุณจริงจังหรอกค่ะ ให้อภัยเธอเสียเถอะ สักวันหนึ่งเมื่อเธอได้เข้าใจความจริงทั้งหมด จะหายโกรธคุณเอง
            “ผมเกรงว่าทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปเสียแล้ว...เพราะผม เอ้อ
            เขาทำท่าจะบอกอะไรกับหล่อนออกไป แต่คำพูดนั้นกลับติดอยู่ที่คอหอย ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ
            “ไปทำงานเสียเถอะคะไม่อย่างนั้นคุณต้นนั่นแหละต้องสายแน่
**********
            “เพิ่งตื่นเหรอพี่ต้นสายป่านนี้แล้ว  เมื่อคืนคงนอนไม่หลับซิท่า!” 
            ปื๊ดสวนกับชายหนุ่มตรงบันได รีบปราดเข้ามาร้องทัก 
            “เปล่าหรอกมัวแต่นั่งคิดอะไรเพลินไปหน่อยเท่านั้นเอง
            “ถ้าพี่ต้นเจอเจ๊โฉม อย่าได้ทักอะไรเป็นอันขาดเชียวนะครับ เด็กหนุ่มเตือนด้วยความหวังดี
            “ทำไมหรือปื๊ด?” 
            “สารรูปของแกเวลานี้ดูไม่จืดเลยเชียวละ ใบหน้างี้ซีดเซียวตาลึกโบ๋ ผมบนหัวตั้งชี้โด่เด่ยังกะรังนกกระจอกไม่มีผิด พี่ต้นเห็นแล้วต้องอดขำไม่ได้แน่
            แค่ได้ฟังปื๊ดบรรยายมา ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างนึกขำ
            “เมื่อคืนแกคงจะตกใจกลัวคุณวนาอย่างขนาดหนัก ถึงได้เป็นอย่างงั้น นี่ยังดีนะที่ไม่จับไข้หัวโกร๋น ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียเลย
            “ความจริงแล้วน่าสงสารแกเหมือนกันนะพี่ต้น แต่อย่างว่าแกไม่ควรไปหาเรื่องกับคุณวนาก่อน  อยู่ดีๆ ไม่ชอบ โดนเข้าหนนี้เห็นทีจะเข็ดไปอีกนาน”    
            “แต่พี่น่ะกับคิดตรงกันข้ามกับปื๊ดนะ
            “อ้าว! เพราะอะไรหรือพี่ต้น?”       
            “ตอนนี้คุณโฉมศรีเธอรู้ชัดแล้วว่า คุณวนาเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในห้องของพี่ และคงไม่ยอมเปล่อยให้มีผีมาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของเธออย่างแน่นอน พี่นึกหวั่นใจอยู่ว่า เธอจะให้ความร่วมมือกับคุณแตนหาทางเล่นงานตอบโต้คุณวนาอีก
            “เออาจจะจริงนะพี่ต้น แต่คุณวนาเธอมีฤทธิ์เดชอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ไม่มีใครกินเธอลงง่ายๆ หรอกนะครับ
            “เรื่องนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ปื๊ดไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าหรอกหรือเมื่อเรารู้แล้วว่าวิญญาณมีจริง หมอผีที่เก่งๆ จึงน่าจะมีอยู่เหมือนกันนะ
            “จริงด้วยพี่ แม้แต่แม่นาคพระโขนงที่ว่าแน่ ยังพ่ายแพ้แก่เณรน้อยตัวกระเปี๊ยกเลย ลองเป็นแบบนี้คุณวนาคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขแน่”    
            “นี่แหละที่พี่เป็นห่วง ในระยะนี้พี่ไม่อยากทิ้งให้คุณวนาอยู่ตามลำพังเลย กลัวว่าเธอจะถูกลอบเล่นงานตอนที่พี่ไม่อยู่อีก
            “เรื่องนี้พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วง ในระหว่างที่พี่ไปทำงาน ผมจะคอยเป็นหูเป็นตาแทนให้เอง ปื๊ดรับอาสาอย่างแข็งขัน ถ้าใครมาคิดร้ายต่อคุณวนาอีก ผมจะรีบโทร.ไปบอกพี่ทันที!”
            “ขอบใจปื๊ดยังไงขอฝากให้ช่วยดูแลคุณวนาด้วยนะ…” 
            “ครับพี่ต้น
....................
            การต่อสู้กับนางไม้สาวครั้งนี้ หมอฉุยได้รับบาดเจ็บไปไม่ใช่น้อย ตามเนื้อตัวหน้าตาเต็มไปด้วยรอยบาดแผลถลอกปอกเปิก แต่ก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารเหมาแท็กซี่มาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งหลังวัดเสด็จ ในจังหวัดปทุมธานี
            “ลุงฉุยไปโดนอะไรฟัดมาน่ะ?”
พอรถจอดเทียบหน้าเรือนทรงไทยหลังใหญ่ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ถุนเรือน รีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองแกลงจากรถ
            “กูประมาทไปหน่อย ถูกนางไม้เล่นงานเอา...อาจารย์บุญอยู่หรือเปล่าวะไอ้อ้น?” หมอฉุยบอกแล้วย้อนถาม   
            “อยู่ไม่ได้ไปไหนหรอกลุงฉุย เจ้าอ้นซึ่งมีหน้าตาน้องๆ ผีสังข์ทอง สีใส ดั้งยุบ ฟันหลอ ผมเผ้าไม่ค่อยมีพอๆ กัน ประคองหมอฉุยเดินขึ้นบันไดเรือนอย่างทุลักทุเล
            “โอ้ย! เบาๆ หน่อยกูเจ็บซี๊ด
            หมอผีเฒ่าร้องลั่น เมื่อท่อนแขนซึ่งระบมด้วยรอยแผลถลอกไปครูดกับราวบันไดเข้า เจ้าอ้นมันเป็นคนบ้าจี้ พอได้ยินเสียงร้องเลยตกใจ รีบปล่อยมือที่ประคอง ทำให้ร่างหมอฉุยเสียหลักเซถลาล้มกลิ้งลงบันไดไป
            “อ้าว! ลุงฉุยลุงฉุย!!”
            เด็กหนุ่มตาเหลือก จะช่วยคว้าไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหมอฉุยลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เชิงบันไดเสียก่อน
            “อะไรกันวะ?”
            เสียงเอะอะโครมคราม ทำให้เจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายสูงอายุ แต่ร่างกายบึกบึนสูงใหญ่ ชะโงกหน้ามามองที่ระเบียง
            “สวัสดีจ้ะอาจารย์บุญนี่ฉันเอง!”        
            แม้จะรู้สึกเจ็บปวดขัดยอกไปหมด หมอฉุยยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมานั่งเพียบแตพนมมือไหว้  
            “เออ...หวัดดี!” ฝ่ายที่รับไหว้มองหน้าหมอฉุยอย่างแปลกใจ  อ้าว! เฮ้ย แล้วนี่เอ็งไปโดนอะไรฟัดมาล่ะ?”
            “เรื่องมันยาวเพราะเหตุนี้แหละ ฉันถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์!”
            “งั้นขึ้นมาก่อนซี่!!”
            อาจารย์บุญผลุบหายไปจากระเบียง หมอฉุยยักแย่ยักยันลุกขึ้นยืน เจ้าอ้นมันปราดเข้ามาจะช่วยถูกตวาดแว๊ด
            “ไม่ต้องกูเดินขึ้นไปเอง ขืนให้มึงช่วยเดี๋ยวกูกลิ้งลงมาอีก...ไอ้บ้าจี้
            “แล้วไม่ดีเหรอกลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ไงลุงไม่เคยได้ยินหรือไง?”
            หมอฉุยอยากจะเตะเจ้าคนพูดสักป้าบ จนใจที่ยังระบมไปหมดทั้งตัว ยกตีนไม่ไหว ได้แต่มองค้อนทำตาปะหลับปะเหลือก
            ชานเรือนกว้างขวางไม่ใช่น้อย พื้นกระดานขัดมันเป็นเงาวับ มุมหนึ่งถูกจัดเป็นที่ตั้งพระพุทธรูป และเครื่องรางของขลังต่างๆ ซึ่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะขาสิงห์ตัวใหญ่ แสดงถึงฐานะและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันลิบกับหมอฉุย 
            หน้าโต๊ะบูชามีพรมเปอร์เซียผืนใหญ่ปูพื้น อาจารย์บุญนั่งนิ่งฟังหมอฉุยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอยู่อย่างสงบ ใบหน้าของแกดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ไว้หนวดเป็นกระจุกเหนือริมฝีปาก ศีรษะถูกโกนจนเกลี้ยงเกลาแบบเดียวกับ พิภพ ภู่ภิญโญ อดีตดาวร้ายในจอหนังของเมืองไทย ตามเนื้อตัวมีรอยสักเต็มไปหมด บ่งบอกถึงบุคลิกของผู้มีวิชาอาคมขลัง
            "ขนาดควายธนูของฉันยังถูกมันทำลายอย่างง่ายดาย นังผีตนนี้มันมีฤทธิ์ไม่ใช่น้อยเอาเลยทีเดียว!” หมอฉุยบอกด้วยสีหน้าแสดงความวิตกกังวล
            อาจารย์บุญยกมือลูบหนวดช้าๆ แบบกำลังใช้ความคิด
            "ฟังที่เอ็งเล่ามา ข้าสงสัยว่ามันจะไม่ใช่นางไม้ธรรมดาแน่!"
            “ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหละอาจารย์ วิชาอาคมของฉันทำอะไรมันไม่ได้เอาเลย…”
            “ไม่น่าเลยนี่นา…” เจ้าอ้นซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยพูดสอดขึ้นมา “ลุงฉุยเก่งแต่ทางลงเสน่ห์สาวแก่แม่หม้ายริอ่านจะไปจับผี ไม่ถูกมันหักคอตายเอาด้วย นับว่าเป็นบุญโขอยู่แล้ว
            “ไอ้นี่วอนซะแล้ว” หมอผีเฒ่าตาเขียวปั้ด หน้าผีแล้วยังปากเสีย เดี๋ยวกูเสกหนังควายเข้าท้องเสียนี่
            ลุงนี่น่ะเร้อะ?”
            “เออซิวะหรือมึงจะลอง?”
            “พอทีไอ้อ้น…” อาจารย์บุญปรามลูกศิษย์ ให้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ไว้เสียบ้าง หมอฉุยเขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของมึงนะ…”
            เด็กหนุ่มรูดซิปปาก หยุดต่อล้อต่อเถียงลงโดยปริยาย อาจารย์บุญจึงหันไปทางหมอฉุย ถามอย่างเป็นงานเป็นการ
            “นางไม้ที่เอ็งว่านี่ มันสิงอยู่ที่ไหน?”
            “ที่ห้องในอพาร์ตเม้นท์ของคุณโฉมศรี จังหวัดนนท์น่ะอาจารย์
            “เรื่องนั้นข้ารู้แล้วที่ข้าถามน่ะหมายความว่ามันสิงอยู่กับอะไร?”
            “อ๋อ!  เตียงจ้ะอาจารย์...” หมอฉุยบอก แล้วนึกถึงเตียงในห้องของต้นที่ได้เห็นมา รู้สึกว่าจะเป็นเตียงไม้สักทองขนาดใหญ่
            “ไม้สักทองเชียวรึ?” อาจารย์บุญพึมพำเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียด
            “ใช่แล้วที่หัวเตียงยังแกะสลักลวดลายด้วยไม้ทั้งแผ่น
            “แสดงว่าต้องเป็นต้นสักทอง ที่มีอายุไม่ใช่น้อย มิน่าเล่านางไม้ตนนี้ถึงได้มีฤทธิ์เดชมากมายนัก ขนาดเอ็งยังเอามันไม่อยู่…”
            “ฉันไม่เห็นมีใครอีกแล้วที่จะสามารถต่อกรกับมันได้ จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ นังผีตนนี้มันทำให้ฉันต้องได้รับความอับอายเสื่อมเสีย ขอได้โปรดช่วยกู้หน้าของฉันสักครั้งเถอะนะ...อาจารย์บุญ
            “เฮ้ย! เรื่องเล็กน่าเรามันอาชีพเดียวกัน มีเรื่องแบบนี้มันต้องช่วยเหลือกันซิวะจะยอมให้พวกภูตผีปีศาจมันมาลบลู่ดูหมิ่นหมอผีอย่างเราได้ไงกัน…”
            “ขอบคุณอาจารย์บุญจริงๆสีหน้าของหมอฉุยแช่มชื่นขึ้น งั้นช่วยรบกวนอาจารย์ไปกับฉันหน่อยเถอะนะ
            “ไม่จำเป็นหรอกข้าจะเรียกวิญญาณของมันมาที่นี่เอง…”
            อาจารย์บุญบอกอย่างมั่นใจในฝีมือของตนเอง
.....................

            จิตใจของต้นคอยเป็นกังวล จนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการเลยตลอดทั้งวัน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งจ่อมอยู่ที่โต๊ะ บางครั้งก็แสดงการกระวนกระวายจนเป็นที่ผิดสังเกตของเพื่อนร่วมงาน
            “เป็นอะไรไปหรือพี่ต้นนั่งซึมทั้งวันเชียว!” นุชอดที่จะเดินเข้ามาถามไม่ได้
            “เปล่าไม่มีอะไรหรอก
            “มีปัญหาอะไรปรึกษากันได้นะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ !”
            “ปัญหาหนักมาก ไม่มีใครช่วยแก้ได้หรอก
            “มีเรื่องผิดใจกับคุณแตนอีกล่ะซิหล่อนเดาเอา
            “มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนะนุชต้นมีท่าทีอึดอัด ไม่รู้จะบอกกับเพื่อนสาวว่ายังไง กับคุณแตนน่ะ ผมชินเสียแล้ว รู้สึกเฉยๆ แต่สำหรับเรื่องนี้ ถ้าพูดไปคงไม่มีใครเชื่อ
            “พี่ต้นยังไม่ได้บอกอะไรกับนุชเลย แล้วรู้ได้ยังไงว่านุชจะเชื่อหรือไม่เชื่อ” 
            โดนหล่อนย้อนเข้าให้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงวางท่าให้ขึงขัง พร้อมกับจ้องหน้าเลขานุการสาวของผู้จัดการฝ่าย
            “นุชเชื่อมั้ยว่าในโลกนี้มีผีจริง?”
            “เชื่อ!”
            “แล้วถ้าผมจะบอกกับนุชว่า ผมมีเพื่อนเป็นผีล่ะ?”
            “อย่าล้อเล่นน่า” หล่อนทำท่ายิ้มนิดๆ เหมือนเห็นเป็นเรื่องน่าขำ
            “นั่นยังไงบอกแล้วว่าต้องไม่มีใครเชื่อเพื่อนของผมเป็นผีผู้หญิง สวยเสียด้วยนา…”
            “เพราะอย่างนี้นี่เอง เมื่อวานพี่ต้นถึงได้รีบร้อนจะไปหาหมอผี คงจะไหว้วานหมอผีให้ช่วยทำพิธีติดต่อกับวิญญาณผีสาวล่ะซิอย่าเพ้อเจ้อดีกว่าน่าพี่ต้น ถึงคุณแตนเธอจะโมโหร้ายไปนิด แต่ก็สวยน่ารักดีอยู่แล้วนี่นา…” 
            หล่อนรีบชิงพูดตัดบท เพราะไม่เชื่อว่าต้นจะพูดอะไรจริงจัง พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ต้นคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมา
            “สวัสดีครับใช่ครับ ผมกำลังพูดอยู่…”
นุชเห็นชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก รับปากรับคำสักครู่จึงวางหูโทรศัพท์ลง
            “ใครโทร.มาน่ะ?”
            “คุณอรอนงค์ นัดเจอกันเย็นนี้ เพื่อตกลงรายละเอียดปลีกย่อย สัญญาประกันของเสียกำชัย
            “เห็นมั้ยแค่นี้พี่ต้นแทบจะสับหลีกไม่ทันอยู่แล้ว ยังคิดจะไปยุ่งกับผีอีก
            นุชพูดเหน็บแนมก่อนที่จะลุกกลับไปทำงานต่อ
....................
           
            อรอนงค์อุตส่าห์ขับรถมารอรับต้นเมื่อเลิกงาน  และพาชายหนุ่มไปยังสวนอาหารแห่งหนึ่ง ย่านถนนรัชดาภิเษก ทั้งคู่เลือกได้มุมเหมาะๆ ที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเป็นที่ปรึกษางาน
            หญิงสาวหอบแฟ้มสัญญาประกันมาด้วย หล่อนยังคงแต่งเนื้อแต่งตัวชะเวิบชะวาบเหมือนเดิม นุ่งกระโปรงสั้น เสื้อคอกว้างเปิดไหล่คว้านลึก เหมือนจงใจจะโชว์อะไรต่อมิอะไร ยั่วกิเลสตัณหาของชายหนุ่ม กลิ่นน้ำหอมตลบอบอวลทั่วเรือนกาย
            “อรยังไม่เข้าใจข้อ 4/2 ที่ระบุเอาไว้ในสัญญาฉนันนี้!”
            หล่อนกางแฟ้มโยกไหล่เข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบจะกระทบกับจมูกของชายหนุ่ม เขารีบเบนหน้าหนี  หญิงสาวชายตาเหลือบมาเห็นเข้าพอดี
            “อ๋อ! นั่นเป็นสัญญาที่บริษัทประกันตั้งเอาไว้ ในกรณีที่ผู้เอาประกันจงใจทำให้เกิดอัคคีภัยต้นพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นปกติ หมายความว่าหากมีความเสียหายที่เกิดจากการจงใจ บริษัทจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้นๆ น่ะครับ
            “ถ้าอย่างนั้นข้อสงสัยนี้เป็นอันหมดไป” 
            หญิงสาวปิดแฟ้มในมือเอาวางไว้บนโต๊ะ
            “แล้วเมื่อไหร่คุณอรอนงค์ จะเสนอให้เสี่ยกำชัยเซ็นอนุมัติได้ล่ะครับ
            “อย่าเพิ่งรีบร้อนนักซิคะคุณต้น ขอเวลาอรศึกษารายละเอียดให้แน่ใจอีกนิดก่อน แต่อรจะพยายามยื่นเสนอให้ได้โดยเร็วที่สุดค่ะ
            “ขอบคุณมากครับคุณอรอนงค์ ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมคงไม่มีวันทำงานชิ้นนี้สำเร็จแน่
            “เมื่ออรรับปากกับคุณต้นแล้ว ต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่งซิคะ อย่าห่วงเลย แต่ว่าถ้าอยากได้งานเร็วๆ คุณต้นน่าจะมีอะไรเป็นการตอบแทนอรบ้างนิดหน่อยหล่อนยื่นข้อเสนอ แล้วทำตาชะมดชะม้อย
            “ผมบอกคุณตามตรงเลยนะครับ ว่างานชิ้นนี้ผมไม่ได้เปอร์เซ็นต์อะไรเลย แต่ถ้าคุณอรอนงค์ต้องการผมจะเอาเงินเดือนของผมจ่ายแทนให้
            “ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะ เงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีความหมายสำคัญอะไรสำหรับอรเลย…”
            “ถ้าอย่างงั้นคุณอรอนงค์อยากได้อะไรจากผมหรือครับ?”
            “ตัวคุณต้นไงล่ะคะ…” หล่อนจับมือถือแขนทอดสะพานให้กับเขาโดยไม่ต้องมีการอ้อมค้อม อยากให้คุณต้นแบ่งเวลามาคอยเอาใจอรบ้าง ทุกวันนี้อรอยู่คนเดียวเหงาเหลือเกิน
            เอาแล้วไงเพราะอย่างนี้นี่เอง หล่อนถึงได้มีความกระตือรือร้นในการที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเขา ชายหนุ่มคิด กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พยายามฝืนที่จะไม่ข้ามสะพานซึ่งหล่อนทอดให้
            “คุณอรอนงค์มีเสี่ยกำชัย คอยเอาอกเอาใจอยู่ทั้งคนแล้วนี่ครับ!”
            “ใครบอกล่ะเวลานี้เมียของเสี่ยเขาจับได้แล้วเราต้องเลิกติดต่อกันเป็นการชั่วคราว อรอยู่คนเดียวจริงๆ หรือว่าคุณต้นมีความรังเกียจที่จะคบกับอร?”
            “โอ๊ย! เปล่าไม่หรอกครับ ผมหรือจะไปรังเกียจคุณได้ลง รู้สึกเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำไป…” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธเพื่อเป็นการเอาใจ
            “งั้นดีแล้วอรอยากจะไปฟังเพลง ทานอาหารเสร็จแล้วคุณต้นช่วยไปเป็นเพื่อนอรหน่อยนะคะ”
            “แต่ว่า…”
            “ไม่มีแต่ค่ะอรจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงคุณต้นเอง ขอเพียงคุณต้นรับปากที่จะไปกับอรเท่านั้น…”
            เพื่องานของตนเอง และภาระที่รับปากกับปื๊ดว่าจะช่วยพูดกับอรอนงค์เรื่องเตี่ยของเขา ทำให้ต้นไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งๆ ที่ใจนึกเป็นห่วงวนา แม่นางไม้สาวของเขาอยู่อย่างมาก


วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เตียงนางไม้ ตอนที่ 25

โดย...เจิด จินตนา
๒๕ . . .



          “พี่ต้นไม่น่าเข้ามาขัดจังหวะเลย อุตส่าห์เลือกเวลากะว่าให้พี่ต้นไปทำงานก่อนแล้วเชียวนา…”
            แตนบ่นพึมพำอย่างรู้สึกขัดเคืองใจ ระหว่างเดินเกาะกลุ่มลงบันไดอพาร์ตเม้นท์มา ทำให้ปื๊ดถึงกับสะดุ้งเฮือก แต่รีบปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ
            นั่นซินะช่างเป็นการบังเอิญจริง ๆ บางทีเขาอาจจะลืมอะไรไว้ แล้วแวะกลับมาเอา
            เด็กหนุ่มยกข้ออ้างขึ้นมา เพื่อปัดสวะให้พ้นตัวหน้าตาเฉย
          นับว่าโชคดีที่ยังไม่มีใครรู้ว่าปื๊ดรู้ความจริงเกี่ยวกับตัววนาแล้ว เลยไม่มีใครติดใจสงสัยเขาแต่อย่างใด
            ฉันข้องใจอยู่อีกอย่างหนึ่งแตนเดินลงมาหยุดยืนที่เชิงบันไดชั้นล่างขมวดคิ้วเข้าหากัน  ทำไมนังผีตัวนั้นโดนเวทมนตร์ของขลังของหมอฉุยเข้าไปแล้วถึงไม่ยักจะเป็นอะไรเลย…?”
            “เขาอาจจะเป็นคนไม่ใช่ผีน่ะครับคุณแตน!” ปื๊ดได้ทีเลยรีบสวมรอย
            นั่นซินะ….เราก็เห็นๆ อยู่ ว่าเขาเป็นคนชัด ๆ นี่นาตุ่มสนับสนุนความคิดเห็นของปื๊ด เพราะหล่อนเองเริ่มชักจะมีความเห็นคล้อยตาม
            เป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันเป็นผีจริง ๆ ผมกล้ายืนยัน
            หมอฉุยคัดค้านเต็มที่
            ถ้าอย่างงั้น….ทำไมมันไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลยล่ะ เมื่อโดนน้ำมนต์กับข้าวสารเสกของหมอเข้าไป?”
            โฉมศรีถามขึ้นมา พร้อมกับจ้องหน้าหมอฉุยเหมือนกับว่า หล่อนชักจะไม่เชื่อถือความสามารถของหมอผีคนนี้เสียแล้ว
            มันคงจะเป็นวิญญาณนางไม้ชั้นเทพ ซึ่งมีบุญบารมีสูงมาก คาถาอาคมธรรมดาถึงไม่สามารถทำอะไรมันได้…”
            “แต่ฉันว่าหมอน่ะไม่มีฝีมือเสียมากกว่า!”
            แตนพูดโพล่งออกมาตรง ๆ อย่างไม่มีการเกรงใจใคร ทำให้หมอฉุยรู้สึกเลือดขึ้นหน้าที่โดนสบประมาทเข้าแบบนี้
            หมอผีอย่างผมไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน วันนี้ถ้าไม่เป็นเพราะพ่อหนุ่มคนนั้นเข้ามาขัดขวาง ผมคงจะขับไล่นังผีตนนั้นมันไปแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อ คืนนี้ผมจะทำพิธีจับมันอีกครั้งให้คุณดู
            “ไม่เอาล่ะฉันขี้เกียจเสียเวลา  หมอกับคุณโฉมศรีจัดการเอาเองแล้วกัน ถ้าทำได้จริงอย่างที่หมอพูด ฉันจะเพิ่มรางวัลให้อีกหมื่นหนึ่ง
            หญิงสาวพูดเหมือนกับจะตัดความรำคาญ
                        **********
            “เป็นความจริงอย่างงั้นหรือปื๊ด?”
            ต้นถามเมื่อเด็กหนุ่มคาบข่าวนี้มาบอกที่ห้อง
            จริงครับพี่ต้นตาหมอฉุยแกเสียหน้ามากที่โดนคุณแตนพูดดูถูกเอาไว้ แกบอกว่าจะทำพิธีเรียกวิญญาณคุณวนาเอาไปถ่วงน้ำให้ได้เลย ท่าทางแกขึงขังเอาจริงเอาจังนะพี่ต้น
            “ให้เขามาเถอะ…;นาจะสั่งสอนให้รู้สึกเข็ดหลาบเอาไว้เสียบ้าง
            นางไม้สาวบอกอย่างไม่ยี่หระ ที่หล่อนยอมอ่อนข้อให้ เพราะไม่ต้องการให้มีเรื่องราวใหญ่โต แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยังไม่ยอมรามือ เห็นทีหล่อนจะต้องตอบโต้ให้รู้ฤทธิ์เสียบ้างล่ะ
            คุณเป็นคนบอกผมเองว่า หมอผีคนนี้มีวิชาอาคมไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมว่าอย่าประมาทดีกว่านะครับคุณวนา
            ต้นอดแสดงความเป็นห่วงไม่ได้ ถึงยังไงเขาไม่อยากอยากให้นางไม้สาวต้องมีอันเป็นไป
            อย่าห่วงเลยค่ะคุณต้น นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ตาหมอฉุยแกไม่กล้ามาตอแยกับวนาอีก รับรองว่าไม่มีอะไรแน่ สบายใจเถอะค่ะ…”
            “ที่จริงแล้ว ผมไม่อยากให้คุณวนาต้องไปสู้รบปรบมือกับหมอผีเลย แต่ในเมื่อมันจำเป็นก็เอาเถอะ จะให้ผมช่วยอะไรบ้างบอกมาแล้วกัน
            “คุณต้นไม่ต้องช่วยอะไรทั้งสิ้น คราวนี้แค่คอยดูอยู่เฉย ๆ พอแล้ว ทุกอย่างวนาจะจัดการเอง”
            มันจะดีเหรอครับคุณวนา?”
            ปื๊ดรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก ว่าวนาจะสู้กับหมอฉุยได้
            ฮื่อ ! ไว้ใจเถอะคุณปื๊ด ขอบใจนะที่โทร.ไปเรียกคุณต้นกลับมาช่วยแล้วยังอุตส่าห์เอาเรื่องนี้มาบอกให้รู้อีกด้วย คุณช่างดีกับวนาจริง ๆ
            “คุณวนาช่วยชีวิตผมไว้จากหมีควาย ผมจึงต้องตอบแทนพระคุณของคุณวนาบ้างน่ะซิครับ เอาไว้คืนนี้ผมจะอยู่ช่วยเป็นกำลังใจคุณวนาอีกคน
            “อ้าว ! แล้วปื๊ดไม่ไปทำงานหรอกเหรอ?” ต้นพูดดีกคอ
            ธ่อ ! พี่ต้นมีเรื่องน่าสนุกตื่นเต้นอย่างงี้พลาดได้เสียเมื่อไหร่ล่ะ
                        **********
            ดึกสงัดของคืนนั้น หมอฉุยหอบอุปกรณ์ต่างๆเดินทางมาที่อพาร์ตเม้นท์อย่างเงียบ ๆ โฉมศรีนั่งรออยู่ในสำนักงาน หล่อนเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาบนฝาผนัง เมื่อชายสูงอายุผลักประตูกระจกเข้ามา เข็มนาฬิกาบอกเวลาอีกสิบนาทีจะเที่ยงคืน
            ทำไมแอบมาเงียบ ๆล่ะจ๊ะหมอ?”
            “ผมให้แท็กซี่ส่งแค่ปากซอยแล้วเดินมา ไม่อยากกระโตกกระตากให้ใครรู้
            “อ้าว ! ลุงม้วน แม่แจ่มนั่งซื่อบื้อกันอยู่ได้ช่วยรับของหน่อยซี่
            สาวใหญ่หันไปเอ็ดเอากับชายหญิงสูงอายุทั้งคู่ ซึ่งถูกกะเกณฑ์ให้มาช่วยงานในครั้งนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไรนัก ลุงม้วนกับแม่แจ่มรีบลุกขึ้นเดินไปรับข้าวของที่หมอฉุยถือมาตามคำสั่งของผู้ที่เป็นนายจ้าง มีพานเงินขนาดย่อมกับหม้อดินเผาอย่างละหนึ่งใบ และไม้รวกยาวประมาณเมตรกว่า ๆ อีกสี่อัน
            แล้วนี่หมอจะทำพิธีกันตรงไหนล่ะ?” โฉมศรีถาม
            สนามหญ้าข้างหน้านี่แหละ เวลานี้กำลังเหมาะ เพราะปลอดคนดี
            “ลงมือเดี๋ยวนี้เลยเหรอ?”
            “เอาเลยซี่ทุกคนตามผมมา
            หมอฉุยเดินนำหน้าเจ้าของอพาร์ตเม้นท์ และลูกจ้างทั้งสองที่ช่วยกันถือของอยู่ออกไปยังสนามหญ้าข้างตัวอาคาร เลือกได้สถานที่เหมาะ ๆระหว่างต้นสนริมรั้ว หมอผีสั่งให้ลุงม้วนปักไม้รวกทั้งสี่อันกับพื้นสนามหญ้า เว้นระยะห่างประมาณสองเมตรทั้งสี่มุม
            จากนั้นชายสูงอายุผู้มีวิชาอาคมจึงล้วงด้ายสายสิญจน์กลุ่มใหญ่ออกมาจากย่าม เอาพันมัดไว้กับปลายไม้รวก โยงเป็นมุมรอบ สั่งให้ทุกคนไปนั่งในวงสายสิญจน์ วางหม้อดินกับพานลงบนพื้น หยิบธูปเทียนกับไม้ขีดไฟออกมา จุดเทียนก่อนแล้วจึงจุดธูปทีหลัง
            ถ้าเห็นอะไรอย่าตื่นเต้นตกใจเป็นอันขาด จงนั่งดูอยู่เฉย ๆ ไม่อย่างงั้นจะเสียพิธีหมด
            หมอฉุยกำชับชาเสร็จ จึงยกธูปที่จุดขึ้นพนมนั่งตั้งสมาธิแน่วแน่ ว่าคาถาพึมพำเบาๆ
            เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนที่นั่งดูอยู่เริ่มรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ โฉมศรีเงยหน้ามองขึ้นไปที่ตัวอาคาร แสงไฟในห้องพักทุกห้องล้วนดับมืดแสดงว่าเวลานี้ทุกคนต่างเข้าหลับเข้านอนกันหมดแล้วเป็นการดีอยู่อย่าง จะได้ไม่มีใครมาแอบสอดรู้สอดเห็นทำให้เสียพิธี
            หารู้ไม่ว่า ปื๊ดแอบดูอยู่ตรงเชิงบันไดชั้นที่สองตั้งนานแล้ว เด็กหนุ่มค่อย ๆ ย่องขึ้นบันไดไปที่ห้องของต้น แล้วเคาะประตูเรียกเบา ๆ พอได้ยิน ชายหนุ่มเปิดประตูออกมา
            หมอผีมาแล้วพี่ต้นกำลังทำพิธีอยู่ที่สนามหญ้าแน่ะ
            “คุณวนาเธอรู้แล้ว กำลังออกไปเตรียมรับมืออยู่
            “งั้นเรารีบไปดูกันเถอะนะพี่ต้น
            “เดี๋ยวก่อนเธอสั่งไว้ว่า ไม่ให้เราไปทำลายพิธีเป็นอันขาด ให้แค่แอบดูเฉย ๆ
            เด็กหนุ่มพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินนำต้นย่องไปแอบดูเชิงราวบันไดชั้นสองอันเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ถนัดชัดเจนที่สุด
            หมอฉุยปักธูปไว้ตรงหน้าข้างหม้อดินเผาจากนั้นจึงพนมมือหลับตาว่าคาถาพึมพำต่อ ทั้งโฉมศรี ลุงม้วนและแม่แจ่ม แทบไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เพราะกลัวจะเกิดเสียงดังไปรบกวนสมาธิของหมอผี ที่กำลังขะมักเขม้นทำพิธีอยู่ ได้แต่นั่งมองตากันปริบ ๆ
            สายลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาวูบหนึ่ง เปลวเทียนที่จุดไว้ไหวพลิ้วไปตามแรงลม และหรี่ลงจนเกือบจะดับมอด ก่อนที่จะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
            นกหากินกลางคืนกกระพือปีกบินผ่านไป ส่งเสียงร้องแหลมเล็ก บาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจของทุกคน บรรยากาศในตอนนี้ ชวนวังเวงน่าขนลุกขนพองยิ่งนักความมืดที่โรยตัวอยู่โดยรอบ และเสียงพึมพำว่าคาถาของหมอฉุยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูน่ากลัวไปเสียหมด
            ลุงม้วนกับแม่แจ่มนั่งตัวแข็งทื่อ นอกจากลูกนัยน์ตาเท่านั้นที่กลอกกลิ้งไปมาคอยชำเลทองมองดูรอบด้านอย่างหวาดระแวง
            และแล้วมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ที่ลานจอดรถใต้ถุนอพาร์ตเม้นท์ เป็นร่างของคนสามคนค่อย ๆ ขยับก้าวออกมาจากเสาแต่ละต้น
            แสงไฟนีออนที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตรงลานจอดรถสว่างพอที่จะทำให้แลเห็นใบหน้าของคนทั้งสามได้อย่างถนัดชัดเจน
            แต่ละคนมีใบหน้าที่บวมฉุ น้ำเหลืองไหลเยิ้มเบ้าตาลึกลงไป ให้เห็นลูกตาทั้งสองข้างใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปอง ทุกคนแต่งชุดสีดำขาดวิ่นเหมือนกันหมด สภาพร่างกายไม่แตกต่างจากใบหน้าเท่าไรนัก เนื้อหนังบางส่วนหลุดลุ่ยจนเห็นกระดูกขาวโพลน
            พวกมันต้องเป็นผีไม่ใช่มนุษย์ ลุงม้วนเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาเพราะความกลัว แต่พอนึกถึงคำสั่งของหมอฉุย เลยได้แต่อ้าปากค้างตาเหลือกมองดูอย่างรู้สึกขนลุกขนพอง
            ซากศพเดินได้ทั้งสาม กำลังย่องก้าวเข้ามาที่สายสิญจน์อย่างช้า ๆด้วยท่าทางอันแข็งทื่อ คล้ายกับถูกมนต์สะกด กลิ่นสาบสางที่โชยมากับสายลม เหม็นคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน เมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้
            หมอฉุยหยุดท่องคาถาลืมตาขึ้นมามอง ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ
            กูไม่ได้เรียกพวกมึง เสือกมาทำไมกลับไปเสีย!”
            อมนุษย์ทั้งสามหาได้ฟังเสียงไม่ ยังคงเดินทื่อเข้ามาหา หมอฉุยล้วงมือลงไปในย่าม หยิบข้าวสารเสกขึ้นมาเต็มกำมือ ยกขึ้นจรดพึมพำว่าคาถา แล้วซัดออกไป
            ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ….เจ้าพวกสัมภเวสี
            ทั้งสามเกิดอาการดิ้นรน แผดเสียงร้องโหยหวนอย่างรู้สึกเจ็บปวดทรมาน จากนั้นพวกมันจึงได้หายวับไปต่อหน้าต่อตา
            พวกนี้เป็นใครกันน่ะหมอ?” โฉมศรีกระซิบถามเสียงเบา
            วิญญาณที่เร่ร่อน ให้กินเครื่องเซ่นเมื่อตอนกลางวันยังไม่รู้จักพอ จะมาขออีกเลยต้องไล่พวกมันไป
            สาวใหญ่หุบปากเงียบ ขนลุกขนพองขึ้นมาทันทีคาดไม่ถึงว่า ในอพาร์ตเม้นท์ของหล่อน จะมีวิญญาณเร่ร่อนมาสิงสู่อยู่อย่างนี้ แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านๆ มามีวิญญาณเหล่านี้คอยป้วนเปี้ยนอยู่โดยที่มองไม่เห็นน่ะซิ นึกขึ้นมาแล้วให้รู้สึกเสียวสยองยิ่งนัก
            ทันใดนั้น มีลูกไฟดวงใหญ่สีชมพูเรื่อ ๆปรากฏขึ้นที่กันสาดชั้นสามของอพาร์ตเม้นท์ แล้วค่อย ๆ กลับกลายเป็นร่างนางไม้สาวพุ่งทะยานลอยละลิ่วลงมาที่สนามหญ้า
            วนาทิ้งตัวลงสู่พื้น ยืนยืดอกเชิดหน้ามองดูหมอฉุยอย่างไม่มีอาการเกรงกลัว
            เจ้าเรียกข้ามาทำไมต้องการพบข้ายังงั้นเหรอ?”
            “ใช่แล้ว….เจ้าเที่ยวสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ข้าจึงจำเป็นที่จะต้องมาจัดการกับเจ้า!”
            หมอผีเฒ่าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่วางอำนาจ
            เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้า?”
            “อย่าโอหังไปนักเลย….ข้านี่แหละจะเป็นผู้จับวิญญาณของเจ้าเอาไปถ่วงทิ้งน้ำเสีย!”
            “ข้าไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร นอกจากคนผู้นั้นจะมาทำความเดือดร้อนให้กับข้าก่อน ถ้าเจ้าคิดว่าสามารถที่จะจัดการกับข้าได้ จงแสดงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าออกมา!”
            นางไม้สาวกกล่าวท้าทาย ยั่วยุให้หมอฉุยเป็นคนลงมือก่อนเพื่อหยั่งเชิง
            ได้ผล….หมอเฒ่าเกิดอาการฉุนเฉียวจนหนวดกระดิก ตาลุกโพลนขึ้นมาในทันทีที่โดนท้าทาย รีบล้วงมือหยิบมีดหมอออกมาจากย่าม จัดแจงยกขึ้นจรดเหนือศีรษะว่าคาถากำกับ แล้วใช้มีดหมอเล่มนั้นชี้ตรงไปยังร่างของนางไม้สาว
            ด้วยอำนาจของเทพยดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอสั่งให้เจ้าจงลงมาอยู่ในหม้อใบนี้ ณ บัดนี้!”
            จะเป็นด้วยอาคมอันแรงกล้าของหมอฉุย หรืออะไรสุดที่จะเดาได้ ปลายมีดหมอเล่มนั้นพลันปรากฏมีประกายลำแสงพุ่งออกไปเป็นทางยาว ตรงดิ่งเข้าหาวนาในทันที
            นางไม้สาวมีอาการสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อลำแสงนั้นพุ่งเข้าจับต้องร่างของหล่อน รู้สึกคล้ายมีพลังเร้นลับอะไรบางอย่าง ดึงดูดหล่อนเข้าไปหาวงสายสิญจน์
            นับว่ายังโชคดีที่นางไม้สาวมีการเตรียมตัวรับมือเอาไว้อยู่แล้ว ร่างนั้นจึงเพียงแค่ซวนเซถลำไปข้างหน้าสองสามก้าว หล่อนรีบผนึกพลังอำนาจที่มีอยู่ออกมาต้านเอาไว้ ทำให้รอบกายปรากฏรัศมีสีชมพูอันเรืองรอง
            แสงอาคมจากมีดหมอดับวูบลงในทันที
            หมอผีเฒ่านั่งตะลึงหน้าถอดสี เห็นชัดว่าคู่ต่อสู้มีพลังอำนาจทีเหนือกว่ามากนัก มีดหมอของตนถึงได้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
            เป็นแน่นอนแล้วว่า นี่ไม่ใช่ดวงวิญญาณผีสางนางไม้ธรรมดา ต้องเป็นนางไม้ชั้นเทพที่มีบุญบารมีอันสูงกล้า แต่ด้วยทิฐิมานะ หมอฉุยหาได้ยอมแพ้ง่าย ๆไม่ ล้วงมือลงไปในย่าม หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางลงบนพื้นตรงหน้า
            เป็นควายตัวเล็ก ๆ ที่ปั้นด้วยดิน เขาโง้งแหลมเฟี้ยวยาวน่ากลัว หรือที่พวกหมอผีเรียกกันว่า ควายธนูนั่นเอง
            หมอฉุยจะใช้ควายธนูตัวนี้เข้าต่อสู้ห้ำหั่นกับนางไม้สาวให้หล่อนหมดแรง สิ้นพละกำลังเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยจับถ่วงใส่หม้อดิน รีบยกมือขึ้นพนมว่าคาถาแล้วเป่าพรวดออกไป
            ควายธนูตัวนั้นพลันหายวับไปจากพื้น แล้วไปปรากฏเป็นควายตัวใหญ่อยู่นอกวงสายสิญจน์ ตัวดำมะเมี่ยม ท่วงท่าดุร้ายน่ากลัว
            มันยกขาหน้าขึ้นตะกุยพื้นสองสามที หายใจดังฟืดฟาด แล้วก้มหัวลงต่ำ พุ่งทะยานเข้าหาวนาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า
            ทุกคนที่อยู่ในวงล้อมของสายสิญจน์ ต่างพากันจ้องมองจนแทบไม่กระพริบตา อย่างรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว
            แต่เขาอันแหลมโง้งของควายธนู หาได้สัมผัสกับร่างของวนาไม่ ในเสี้ยววินาทีที่มันพุ่งเข้ามาจะถึงตัว หล่อนรีบทะยานขึ้นจากพื้นดินทำให้มันถลำเลยเฉียดผ่านไปอย่างหวุดหวิดเต็มที่
            นางไม้สาวบังคับตัวเองให้ลอยอยู่ในอากาศ แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าควายธนูซึ่งกว่าจะตั้งหลักได้ก็วิ่งเลยไปเสียตั้งไกล
            เจ้าควายมนต์แหงนหน้าขึ้นมองศัตรูของมัน ทำเสียงขู่คำรามในลำคออย่างดุร้าย จากนั้นจึงเริ่มออกวิ่งเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เร็วขึ้นแล้วพุ่งทะยานลอยละลิ่วขึ้นไปจากพื้นดินตรงเข้าหาวนา เหมือนกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกไป
            เสียงปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว ร่างนางไม้สาวที่ถูกชน ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศสูงขึ้นไปอย่างเสียหลัก
            ควายธนูไม่ยอมปล่อยโอกาสทองของมันให้หลุดมือไป รีบพุ่งตามติดขึ้นขึ้นไปหมายพิฆาตศัตรูให้อยู่มือ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่วนาเริ่มตั้งตัวได้ พอเหลือบเห็นเช่นนั้น หล่อนจึงซัดฟ่ามือออกไป ปล่อยลูกไฟดวงใหญ่พุ่งเข้าหาเจ้าสัตว์ร้าย
            บังเกิดเสียงกึกก้องปานเสียงฟ้าผ่า ควายธนูตัวนั้นพลันระเบิดออกหายวับไปในทันที
            ที่พื้นหญ้าตรงหน้าของหมอฉุย มีเศษดินชิ้นเล็กชิ้นน้อยปรากฏขึ้น เกือบแหลกละเอียดจนแทบดูไม่ออกว่าของสิ่งนี้เคยเป็นรูปปั่นควายธนูมาก่อน
            จนปัญญาที่คิดหาญจะต่อกรกับนางไม้สาวอีกต่อไปแล้ว หมอฉุยรีบผุดลุกขึ้น กระโจนพรวดออกนอกวงสายสิญจน์ คิดอยู่อย่างเดียวต้องรีบหนีไปให้ไกล ก่อนที่จะมีภัยมาถึงตัว
            แต่ทว่า….มันสายเกินไปเสียแล้ว การกระทำทุกอย่างของหมอฉุย  อยู่ในสายตานางไม้สาวตลอดเวลา หล่อนสะบัดมือออกไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีลูกไฟดวงเล็ก ๆ พุ่งตรงเข้าหาหมอฉุย และปะทะเข้าที่กลางหลังหมอผีเฒ่าอย่างจัง
            ร่างที่กำลังวิ่งหนีอย่างตาลีตาลาน พลนถลาทิ่มพรรวดลงกับพื้นดิน
            เพียงเท่านั้นเอง ภายในวงสายสิญจน์เกิดการแตกฮือเหมือนผึ้งรังแตก ทั้งโฉมศรีเจ้าความคิดที่เชิญหมอผีปราบวนา กับชายหญิงสูงอายุที่เป็นลูกจ้างต่างพากันโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต เผ่นพรวดกันไปคนละทิศคนละทาง หายวับกันไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ
            วนาลอยลงมาหาหมอฉุย ซึ่งกำลังกระเสือกกระสนถดถอยหนี จนลนลานด้วยความหวาดหวั่นกลัว ตามเนื้อตามตัวถลอดปอกเปิกไปหมด สารรูปแทบดูไม่ได้ มิได้มีมาดของหมอผีผู้หยิ่งทระนงหลงเหลืออยู่อีกเลย
            ข้าเตือนเจ้าแล้วไม่ยอมเชื่อ ! ทีนี้เห็นฤทธิ์ของข้าบ้างหรือยังล่ะ?”
            “กะกะ….กลัว….กลัวแล้วจ้ะ แม่เจ้าประคู้น….ฉันไม่กล้าอวดดีอีกต่อไปแล้วจ้ะได้โปรดไว้ชีวิตของฉันเถอะนะ! !”
            หมอฉุยพนมมือแต้ ละล่ำละลักบอกปากคอสั่นไปหมด
            ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตให้ แต่จงจำเอาไว้นะถ้ายังคิดจะลองดีกับข้าอีก..เจ้าจะไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับไปแน่ !!”
            “จ้ะจ้ะไม่เอาแล้ว ฉันไม่กล้าอีกแล้วจ้ะ
            “รีบไปให้พ้นแล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีกไปซี่! !”
            นางไม้สาวตวาดสำทับ หมอฉุยรีบลุกขึ้นกระโจนพรวด โกยอ้าวออกไปจากอพาร์ตเม้นท์ในทันที
                        **********
            ในตอนเช้าของวันต่อมา ปื๊ดอดรู้สึกขำไม่ได้ทีเห็นโฉมศรีนั่งตาเหม่อลอยอยู่ในสำนักงาน ผมเผ้าบนศีรษะลุกชูตั้งชัน คล้ายถูกอบในเครื่องอบผมที่มีความร้อนเกินขนาด ใบหน้าซีดเซียวจนแทบจะไม่มีสีเลือด
            เป็นอะไรไปน่ะเจ๊โฉมไม่สบายเหรอ?”
            เด็กหนุ่มผลักประตูกระจกยื่นหน้าเข้าไปทักทาย
            ไปให้พ้นนะเจ้าปื๊ด….มันไม่ใช่เรื่องอะไรของแก!”
            “เมื่อคืนผมได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่า ทั้ง ๆที่ฝนไม่ได้ตกสักหน่อย หรือว่าเจ๊จะโดนฟ้าผ่ามา?”
            ปื๊ดยังอดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ได้ เท่านั้นแหละ โฉมศรีถึงกับเป็นฟืนเป็นไฟตาลุกวาว
            ไอ้ปื๊ดไอ้ชาติหมาไอ้….ไอ้
            เสียงด่าโขมงโฉงเฉง พร้อมกับข้าวของบนโต๊ะที่ถูกจับขว้างมาจนปื๊ดแทบหลบไม่ทัน เด็กหนุ่มรีบปิดประตู เผ่นอ้าวหนีไปอย่างรวดเร็ว ! ! !