วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เตียงนางไม้ ตอนที่ 26

โดย...เจิด จินตนา
๒๖...


            ต้นตื่นนอนตั้งนานแล้ว  ยังอิดๆ เอื้อนๆ อยู่  ไม่ยอมแต่งตัวไปทำงานเสียที  หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อคืนนี้แล้ว  ทำให้เขามีความห่วงใยวนาเป็นอันมาก           
            มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ซึ่งเขาบอกกับตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ยิ่งมีความสนิทสนมกับนางไม้สาวมากเท่าไหร่ ต้นยิ่งเห็นหล่อนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา รู้สึกหวงแหน ไม่อยากให้หล่อนต้องพลัดพรากจากเขาไป  
            แม้หล่อนจะเป็นเพียงวิญญาณ แต่ความน่ารัก และอิริยาบทต่างๆ ทำให้ต้นรู้สึกมีความสดชื่นอย่างประหลาดเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดด้วย
            “สายมากแล้วยังไม่ไปทำงานอีกหรือคะคุณต้น?”
            วนาเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นเขานั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเป็นเวลานานแล้ว
            “ผมไม่อยากไปเลยจริงๆ เป็นห่วงคุณวนา” 
            “หมอฉุยได้รับบทเรียนไปมาก ไม่กล้ากลับมาก่อเรื่องอีกแล้วล่ะค่ะ
            “คนอื่นอาจจะไม่ แต่สำหรับคุณแตนแล้ว เธอเป็นคนชอบเอาชนะ นี่แหละคือสิ่งที่ผมเป็นห่วง
            “ทำใจให้สบายดีกว่า วนายังไม่เห็นรู้สึกกลัวอะไรเลย คุณแตนเธอทำอะไรวนาไม่ได้หรอกค่ะ ห่วงแต่คุณต้นเองเถอะ เข้าข้างวนาถึงขนาดนี้ ไม่กลัวเธอโกรธเอาหรือ?
            “นั่นน่ะซิครับ เป็นเรื่องที่แปลกมากในตอนนั้นผมไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากความเป็นห่วงคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ป่านนี้เธอคงจะโกรธผมจนแทบไม่อยากมองหน้าพูดจากันเลย
            “คุณต้นคงจะรักคุณแตนมากซินะคะ?”
            “เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่เมื่อเห็นเธอพยายามคิดร้ายต่อคุณ โดยไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรเลย ผมชักจะไม่แน่ใจเหมือนกัน…”
            ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดสับสนอยู่ในใจ
            “ผู้หญิงเมื่อปักใจรักใครย่อมมีความหึงหวงในตัวชายที่เธอรัก และมักทำอะไรลงไปโดยไม่มีการคำนึงถึงเหตุผล คุณแตนเธอคงไม่ได้โกรธอะไรคุณจริงจังหรอกค่ะ ให้อภัยเธอเสียเถอะ สักวันหนึ่งเมื่อเธอได้เข้าใจความจริงทั้งหมด จะหายโกรธคุณเอง
            “ผมเกรงว่าทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปเสียแล้ว...เพราะผม เอ้อ
            เขาทำท่าจะบอกอะไรกับหล่อนออกไป แต่คำพูดนั้นกลับติดอยู่ที่คอหอย ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ
            “ไปทำงานเสียเถอะคะไม่อย่างนั้นคุณต้นนั่นแหละต้องสายแน่
**********
            “เพิ่งตื่นเหรอพี่ต้นสายป่านนี้แล้ว  เมื่อคืนคงนอนไม่หลับซิท่า!” 
            ปื๊ดสวนกับชายหนุ่มตรงบันได รีบปราดเข้ามาร้องทัก 
            “เปล่าหรอกมัวแต่นั่งคิดอะไรเพลินไปหน่อยเท่านั้นเอง
            “ถ้าพี่ต้นเจอเจ๊โฉม อย่าได้ทักอะไรเป็นอันขาดเชียวนะครับ เด็กหนุ่มเตือนด้วยความหวังดี
            “ทำไมหรือปื๊ด?” 
            “สารรูปของแกเวลานี้ดูไม่จืดเลยเชียวละ ใบหน้างี้ซีดเซียวตาลึกโบ๋ ผมบนหัวตั้งชี้โด่เด่ยังกะรังนกกระจอกไม่มีผิด พี่ต้นเห็นแล้วต้องอดขำไม่ได้แน่
            แค่ได้ฟังปื๊ดบรรยายมา ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างนึกขำ
            “เมื่อคืนแกคงจะตกใจกลัวคุณวนาอย่างขนาดหนัก ถึงได้เป็นอย่างงั้น นี่ยังดีนะที่ไม่จับไข้หัวโกร๋น ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียเลย
            “ความจริงแล้วน่าสงสารแกเหมือนกันนะพี่ต้น แต่อย่างว่าแกไม่ควรไปหาเรื่องกับคุณวนาก่อน  อยู่ดีๆ ไม่ชอบ โดนเข้าหนนี้เห็นทีจะเข็ดไปอีกนาน”    
            “แต่พี่น่ะกับคิดตรงกันข้ามกับปื๊ดนะ
            “อ้าว! เพราะอะไรหรือพี่ต้น?”       
            “ตอนนี้คุณโฉมศรีเธอรู้ชัดแล้วว่า คุณวนาเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในห้องของพี่ และคงไม่ยอมเปล่อยให้มีผีมาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของเธออย่างแน่นอน พี่นึกหวั่นใจอยู่ว่า เธอจะให้ความร่วมมือกับคุณแตนหาทางเล่นงานตอบโต้คุณวนาอีก
            “เออาจจะจริงนะพี่ต้น แต่คุณวนาเธอมีฤทธิ์เดชอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ไม่มีใครกินเธอลงง่ายๆ หรอกนะครับ
            “เรื่องนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ปื๊ดไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าหรอกหรือเมื่อเรารู้แล้วว่าวิญญาณมีจริง หมอผีที่เก่งๆ จึงน่าจะมีอยู่เหมือนกันนะ
            “จริงด้วยพี่ แม้แต่แม่นาคพระโขนงที่ว่าแน่ ยังพ่ายแพ้แก่เณรน้อยตัวกระเปี๊ยกเลย ลองเป็นแบบนี้คุณวนาคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขแน่”    
            “นี่แหละที่พี่เป็นห่วง ในระยะนี้พี่ไม่อยากทิ้งให้คุณวนาอยู่ตามลำพังเลย กลัวว่าเธอจะถูกลอบเล่นงานตอนที่พี่ไม่อยู่อีก
            “เรื่องนี้พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วง ในระหว่างที่พี่ไปทำงาน ผมจะคอยเป็นหูเป็นตาแทนให้เอง ปื๊ดรับอาสาอย่างแข็งขัน ถ้าใครมาคิดร้ายต่อคุณวนาอีก ผมจะรีบโทร.ไปบอกพี่ทันที!”
            “ขอบใจปื๊ดยังไงขอฝากให้ช่วยดูแลคุณวนาด้วยนะ…” 
            “ครับพี่ต้น
....................
            การต่อสู้กับนางไม้สาวครั้งนี้ หมอฉุยได้รับบาดเจ็บไปไม่ใช่น้อย ตามเนื้อตัวหน้าตาเต็มไปด้วยรอยบาดแผลถลอกปอกเปิก แต่ก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารเหมาแท็กซี่มาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งหลังวัดเสด็จ ในจังหวัดปทุมธานี
            “ลุงฉุยไปโดนอะไรฟัดมาน่ะ?”
พอรถจอดเทียบหน้าเรือนทรงไทยหลังใหญ่ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ถุนเรือน รีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองแกลงจากรถ
            “กูประมาทไปหน่อย ถูกนางไม้เล่นงานเอา...อาจารย์บุญอยู่หรือเปล่าวะไอ้อ้น?” หมอฉุยบอกแล้วย้อนถาม   
            “อยู่ไม่ได้ไปไหนหรอกลุงฉุย เจ้าอ้นซึ่งมีหน้าตาน้องๆ ผีสังข์ทอง สีใส ดั้งยุบ ฟันหลอ ผมเผ้าไม่ค่อยมีพอๆ กัน ประคองหมอฉุยเดินขึ้นบันไดเรือนอย่างทุลักทุเล
            “โอ้ย! เบาๆ หน่อยกูเจ็บซี๊ด
            หมอผีเฒ่าร้องลั่น เมื่อท่อนแขนซึ่งระบมด้วยรอยแผลถลอกไปครูดกับราวบันไดเข้า เจ้าอ้นมันเป็นคนบ้าจี้ พอได้ยินเสียงร้องเลยตกใจ รีบปล่อยมือที่ประคอง ทำให้ร่างหมอฉุยเสียหลักเซถลาล้มกลิ้งลงบันไดไป
            “อ้าว! ลุงฉุยลุงฉุย!!”
            เด็กหนุ่มตาเหลือก จะช่วยคว้าไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะหมอฉุยลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เชิงบันไดเสียก่อน
            “อะไรกันวะ?”
            เสียงเอะอะโครมคราม ทำให้เจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายสูงอายุ แต่ร่างกายบึกบึนสูงใหญ่ ชะโงกหน้ามามองที่ระเบียง
            “สวัสดีจ้ะอาจารย์บุญนี่ฉันเอง!”        
            แม้จะรู้สึกเจ็บปวดขัดยอกไปหมด หมอฉุยยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมานั่งเพียบแตพนมมือไหว้  
            “เออ...หวัดดี!” ฝ่ายที่รับไหว้มองหน้าหมอฉุยอย่างแปลกใจ  อ้าว! เฮ้ย แล้วนี่เอ็งไปโดนอะไรฟัดมาล่ะ?”
            “เรื่องมันยาวเพราะเหตุนี้แหละ ฉันถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์!”
            “งั้นขึ้นมาก่อนซี่!!”
            อาจารย์บุญผลุบหายไปจากระเบียง หมอฉุยยักแย่ยักยันลุกขึ้นยืน เจ้าอ้นมันปราดเข้ามาจะช่วยถูกตวาดแว๊ด
            “ไม่ต้องกูเดินขึ้นไปเอง ขืนให้มึงช่วยเดี๋ยวกูกลิ้งลงมาอีก...ไอ้บ้าจี้
            “แล้วไม่ดีเหรอกลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ไงลุงไม่เคยได้ยินหรือไง?”
            หมอฉุยอยากจะเตะเจ้าคนพูดสักป้าบ จนใจที่ยังระบมไปหมดทั้งตัว ยกตีนไม่ไหว ได้แต่มองค้อนทำตาปะหลับปะเหลือก
            ชานเรือนกว้างขวางไม่ใช่น้อย พื้นกระดานขัดมันเป็นเงาวับ มุมหนึ่งถูกจัดเป็นที่ตั้งพระพุทธรูป และเครื่องรางของขลังต่างๆ ซึ่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะขาสิงห์ตัวใหญ่ แสดงถึงฐานะและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันลิบกับหมอฉุย 
            หน้าโต๊ะบูชามีพรมเปอร์เซียผืนใหญ่ปูพื้น อาจารย์บุญนั่งนิ่งฟังหมอฉุยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอยู่อย่างสงบ ใบหน้าของแกดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ไว้หนวดเป็นกระจุกเหนือริมฝีปาก ศีรษะถูกโกนจนเกลี้ยงเกลาแบบเดียวกับ พิภพ ภู่ภิญโญ อดีตดาวร้ายในจอหนังของเมืองไทย ตามเนื้อตัวมีรอยสักเต็มไปหมด บ่งบอกถึงบุคลิกของผู้มีวิชาอาคมขลัง
            "ขนาดควายธนูของฉันยังถูกมันทำลายอย่างง่ายดาย นังผีตนนี้มันมีฤทธิ์ไม่ใช่น้อยเอาเลยทีเดียว!” หมอฉุยบอกด้วยสีหน้าแสดงความวิตกกังวล
            อาจารย์บุญยกมือลูบหนวดช้าๆ แบบกำลังใช้ความคิด
            "ฟังที่เอ็งเล่ามา ข้าสงสัยว่ามันจะไม่ใช่นางไม้ธรรมดาแน่!"
            “ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหละอาจารย์ วิชาอาคมของฉันทำอะไรมันไม่ได้เอาเลย…”
            “ไม่น่าเลยนี่นา…” เจ้าอ้นซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยพูดสอดขึ้นมา “ลุงฉุยเก่งแต่ทางลงเสน่ห์สาวแก่แม่หม้ายริอ่านจะไปจับผี ไม่ถูกมันหักคอตายเอาด้วย นับว่าเป็นบุญโขอยู่แล้ว
            “ไอ้นี่วอนซะแล้ว” หมอผีเฒ่าตาเขียวปั้ด หน้าผีแล้วยังปากเสีย เดี๋ยวกูเสกหนังควายเข้าท้องเสียนี่
            ลุงนี่น่ะเร้อะ?”
            “เออซิวะหรือมึงจะลอง?”
            “พอทีไอ้อ้น…” อาจารย์บุญปรามลูกศิษย์ ให้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ไว้เสียบ้าง หมอฉุยเขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของมึงนะ…”
            เด็กหนุ่มรูดซิปปาก หยุดต่อล้อต่อเถียงลงโดยปริยาย อาจารย์บุญจึงหันไปทางหมอฉุย ถามอย่างเป็นงานเป็นการ
            “นางไม้ที่เอ็งว่านี่ มันสิงอยู่ที่ไหน?”
            “ที่ห้องในอพาร์ตเม้นท์ของคุณโฉมศรี จังหวัดนนท์น่ะอาจารย์
            “เรื่องนั้นข้ารู้แล้วที่ข้าถามน่ะหมายความว่ามันสิงอยู่กับอะไร?”
            “อ๋อ!  เตียงจ้ะอาจารย์...” หมอฉุยบอก แล้วนึกถึงเตียงในห้องของต้นที่ได้เห็นมา รู้สึกว่าจะเป็นเตียงไม้สักทองขนาดใหญ่
            “ไม้สักทองเชียวรึ?” อาจารย์บุญพึมพำเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียด
            “ใช่แล้วที่หัวเตียงยังแกะสลักลวดลายด้วยไม้ทั้งแผ่น
            “แสดงว่าต้องเป็นต้นสักทอง ที่มีอายุไม่ใช่น้อย มิน่าเล่านางไม้ตนนี้ถึงได้มีฤทธิ์เดชมากมายนัก ขนาดเอ็งยังเอามันไม่อยู่…”
            “ฉันไม่เห็นมีใครอีกแล้วที่จะสามารถต่อกรกับมันได้ จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ นังผีตนนี้มันทำให้ฉันต้องได้รับความอับอายเสื่อมเสีย ขอได้โปรดช่วยกู้หน้าของฉันสักครั้งเถอะนะ...อาจารย์บุญ
            “เฮ้ย! เรื่องเล็กน่าเรามันอาชีพเดียวกัน มีเรื่องแบบนี้มันต้องช่วยเหลือกันซิวะจะยอมให้พวกภูตผีปีศาจมันมาลบลู่ดูหมิ่นหมอผีอย่างเราได้ไงกัน…”
            “ขอบคุณอาจารย์บุญจริงๆสีหน้าของหมอฉุยแช่มชื่นขึ้น งั้นช่วยรบกวนอาจารย์ไปกับฉันหน่อยเถอะนะ
            “ไม่จำเป็นหรอกข้าจะเรียกวิญญาณของมันมาที่นี่เอง…”
            อาจารย์บุญบอกอย่างมั่นใจในฝีมือของตนเอง
.....................

            จิตใจของต้นคอยเป็นกังวล จนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการเลยตลอดทั้งวัน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งจ่อมอยู่ที่โต๊ะ บางครั้งก็แสดงการกระวนกระวายจนเป็นที่ผิดสังเกตของเพื่อนร่วมงาน
            “เป็นอะไรไปหรือพี่ต้นนั่งซึมทั้งวันเชียว!” นุชอดที่จะเดินเข้ามาถามไม่ได้
            “เปล่าไม่มีอะไรหรอก
            “มีปัญหาอะไรปรึกษากันได้นะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ !”
            “ปัญหาหนักมาก ไม่มีใครช่วยแก้ได้หรอก
            “มีเรื่องผิดใจกับคุณแตนอีกล่ะซิหล่อนเดาเอา
            “มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนะนุชต้นมีท่าทีอึดอัด ไม่รู้จะบอกกับเพื่อนสาวว่ายังไง กับคุณแตนน่ะ ผมชินเสียแล้ว รู้สึกเฉยๆ แต่สำหรับเรื่องนี้ ถ้าพูดไปคงไม่มีใครเชื่อ
            “พี่ต้นยังไม่ได้บอกอะไรกับนุชเลย แล้วรู้ได้ยังไงว่านุชจะเชื่อหรือไม่เชื่อ” 
            โดนหล่อนย้อนเข้าให้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงวางท่าให้ขึงขัง พร้อมกับจ้องหน้าเลขานุการสาวของผู้จัดการฝ่าย
            “นุชเชื่อมั้ยว่าในโลกนี้มีผีจริง?”
            “เชื่อ!”
            “แล้วถ้าผมจะบอกกับนุชว่า ผมมีเพื่อนเป็นผีล่ะ?”
            “อย่าล้อเล่นน่า” หล่อนทำท่ายิ้มนิดๆ เหมือนเห็นเป็นเรื่องน่าขำ
            “นั่นยังไงบอกแล้วว่าต้องไม่มีใครเชื่อเพื่อนของผมเป็นผีผู้หญิง สวยเสียด้วยนา…”
            “เพราะอย่างนี้นี่เอง เมื่อวานพี่ต้นถึงได้รีบร้อนจะไปหาหมอผี คงจะไหว้วานหมอผีให้ช่วยทำพิธีติดต่อกับวิญญาณผีสาวล่ะซิอย่าเพ้อเจ้อดีกว่าน่าพี่ต้น ถึงคุณแตนเธอจะโมโหร้ายไปนิด แต่ก็สวยน่ารักดีอยู่แล้วนี่นา…” 
            หล่อนรีบชิงพูดตัดบท เพราะไม่เชื่อว่าต้นจะพูดอะไรจริงจัง พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ต้นคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมา
            “สวัสดีครับใช่ครับ ผมกำลังพูดอยู่…”
นุชเห็นชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก รับปากรับคำสักครู่จึงวางหูโทรศัพท์ลง
            “ใครโทร.มาน่ะ?”
            “คุณอรอนงค์ นัดเจอกันเย็นนี้ เพื่อตกลงรายละเอียดปลีกย่อย สัญญาประกันของเสียกำชัย
            “เห็นมั้ยแค่นี้พี่ต้นแทบจะสับหลีกไม่ทันอยู่แล้ว ยังคิดจะไปยุ่งกับผีอีก
            นุชพูดเหน็บแนมก่อนที่จะลุกกลับไปทำงานต่อ
....................
           
            อรอนงค์อุตส่าห์ขับรถมารอรับต้นเมื่อเลิกงาน  และพาชายหนุ่มไปยังสวนอาหารแห่งหนึ่ง ย่านถนนรัชดาภิเษก ทั้งคู่เลือกได้มุมเหมาะๆ ที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเป็นที่ปรึกษางาน
            หญิงสาวหอบแฟ้มสัญญาประกันมาด้วย หล่อนยังคงแต่งเนื้อแต่งตัวชะเวิบชะวาบเหมือนเดิม นุ่งกระโปรงสั้น เสื้อคอกว้างเปิดไหล่คว้านลึก เหมือนจงใจจะโชว์อะไรต่อมิอะไร ยั่วกิเลสตัณหาของชายหนุ่ม กลิ่นน้ำหอมตลบอบอวลทั่วเรือนกาย
            “อรยังไม่เข้าใจข้อ 4/2 ที่ระบุเอาไว้ในสัญญาฉนันนี้!”
            หล่อนกางแฟ้มโยกไหล่เข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบจะกระทบกับจมูกของชายหนุ่ม เขารีบเบนหน้าหนี  หญิงสาวชายตาเหลือบมาเห็นเข้าพอดี
            “อ๋อ! นั่นเป็นสัญญาที่บริษัทประกันตั้งเอาไว้ ในกรณีที่ผู้เอาประกันจงใจทำให้เกิดอัคคีภัยต้นพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นปกติ หมายความว่าหากมีความเสียหายที่เกิดจากการจงใจ บริษัทจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้นๆ น่ะครับ
            “ถ้าอย่างนั้นข้อสงสัยนี้เป็นอันหมดไป” 
            หญิงสาวปิดแฟ้มในมือเอาวางไว้บนโต๊ะ
            “แล้วเมื่อไหร่คุณอรอนงค์ จะเสนอให้เสี่ยกำชัยเซ็นอนุมัติได้ล่ะครับ
            “อย่าเพิ่งรีบร้อนนักซิคะคุณต้น ขอเวลาอรศึกษารายละเอียดให้แน่ใจอีกนิดก่อน แต่อรจะพยายามยื่นเสนอให้ได้โดยเร็วที่สุดค่ะ
            “ขอบคุณมากครับคุณอรอนงค์ ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมคงไม่มีวันทำงานชิ้นนี้สำเร็จแน่
            “เมื่ออรรับปากกับคุณต้นแล้ว ต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่งซิคะ อย่าห่วงเลย แต่ว่าถ้าอยากได้งานเร็วๆ คุณต้นน่าจะมีอะไรเป็นการตอบแทนอรบ้างนิดหน่อยหล่อนยื่นข้อเสนอ แล้วทำตาชะมดชะม้อย
            “ผมบอกคุณตามตรงเลยนะครับ ว่างานชิ้นนี้ผมไม่ได้เปอร์เซ็นต์อะไรเลย แต่ถ้าคุณอรอนงค์ต้องการผมจะเอาเงินเดือนของผมจ่ายแทนให้
            “ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะ เงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีความหมายสำคัญอะไรสำหรับอรเลย…”
            “ถ้าอย่างงั้นคุณอรอนงค์อยากได้อะไรจากผมหรือครับ?”
            “ตัวคุณต้นไงล่ะคะ…” หล่อนจับมือถือแขนทอดสะพานให้กับเขาโดยไม่ต้องมีการอ้อมค้อม อยากให้คุณต้นแบ่งเวลามาคอยเอาใจอรบ้าง ทุกวันนี้อรอยู่คนเดียวเหงาเหลือเกิน
            เอาแล้วไงเพราะอย่างนี้นี่เอง หล่อนถึงได้มีความกระตือรือร้นในการที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเขา ชายหนุ่มคิด กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พยายามฝืนที่จะไม่ข้ามสะพานซึ่งหล่อนทอดให้
            “คุณอรอนงค์มีเสี่ยกำชัย คอยเอาอกเอาใจอยู่ทั้งคนแล้วนี่ครับ!”
            “ใครบอกล่ะเวลานี้เมียของเสี่ยเขาจับได้แล้วเราต้องเลิกติดต่อกันเป็นการชั่วคราว อรอยู่คนเดียวจริงๆ หรือว่าคุณต้นมีความรังเกียจที่จะคบกับอร?”
            “โอ๊ย! เปล่าไม่หรอกครับ ผมหรือจะไปรังเกียจคุณได้ลง รู้สึกเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำไป…” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธเพื่อเป็นการเอาใจ
            “งั้นดีแล้วอรอยากจะไปฟังเพลง ทานอาหารเสร็จแล้วคุณต้นช่วยไปเป็นเพื่อนอรหน่อยนะคะ”
            “แต่ว่า…”
            “ไม่มีแต่ค่ะอรจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงคุณต้นเอง ขอเพียงคุณต้นรับปากที่จะไปกับอรเท่านั้น…”
            เพื่องานของตนเอง และภาระที่รับปากกับปื๊ดว่าจะช่วยพูดกับอรอนงค์เรื่องเตี่ยของเขา ทำให้ต้นไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งๆ ที่ใจนึกเป็นห่วงวนา แม่นางไม้สาวของเขาอยู่อย่างมาก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น