โดย...เจิด จินตนา
๒๕ . . .
“พี่ต้นไม่น่าเข้ามาขัดจังหวะเลย
อุตส่าห์เลือกเวลากะว่าให้พี่ต้นไปทำงานก่อนแล้วเชียวนา…”
แตนบ่นพึมพำอย่างรู้สึกขัดเคืองใจ
ระหว่างเดินเกาะกลุ่มลงบันไดอพาร์ตเม้นท์มา ทำให้ปื๊ดถึงกับสะดุ้งเฮือก
แต่รีบปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ
“นั่นซินะ…ช่างเป็นการบังเอิญจริง
ๆ บางทีเขาอาจจะลืมอะไรไว้ แล้วแวะกลับมาเอา”
เด็กหนุ่มยกข้ออ้างขึ้นมา เพื่อปัดสวะให้พ้นตัวหน้าตาเฉย
นับว่าโชคดีที่ยังไม่มีใครรู้ว่าปื๊ดรู้ความจริงเกี่ยวกับตัววนาแล้ว
เลยไม่มีใครติดใจสงสัยเขาแต่อย่างใด
“ฉันข้องใจอยู่อีกอย่างหนึ่ง”
แตนเดินลงมาหยุดยืนที่เชิงบันไดชั้นล่างขมวดคิ้วเข้าหากัน “ทำไมนังผีตัวนั้นโดนเวทมนตร์ของขลังของหมอฉุยเข้าไปแล้วถึงไม่ยักจะเป็นอะไรเลย…?”
“เขาอาจจะเป็นคนไม่ใช่ผีน่ะครับคุณแตน!” ปื๊ดได้ทีเลยรีบสวมรอย
“นั่นซินะ….เราก็เห็นๆ
อยู่ ว่าเขาเป็นคนชัด ๆ นี่นา” ตุ่มสนับสนุนความคิดเห็นของปื๊ด
เพราะหล่อนเองเริ่มชักจะมีความเห็นคล้อยตาม
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
มันเป็นผีจริง ๆ ผมกล้ายืนยัน”
หมอฉุยคัดค้านเต็มที่
“ถ้าอย่างงั้น….ทำไมมันไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลยล่ะ
เมื่อโดนน้ำมนต์กับข้าวสารเสกของหมอเข้าไป?”
โฉมศรีถามขึ้นมา พร้อมกับจ้องหน้าหมอฉุยเหมือนกับว่า
หล่อนชักจะไม่เชื่อถือความสามารถของหมอผีคนนี้เสียแล้ว
“มันคงจะเป็นวิญญาณนางไม้ชั้นเทพ
ซึ่งมีบุญบารมีสูงมาก คาถาอาคมธรรมดาถึงไม่สามารถทำอะไรมันได้…”
“แต่ฉันว่าหมอน่ะไม่มีฝีมือเสียมากกว่า!”
แตนพูดโพล่งออกมาตรง ๆ อย่างไม่มีการเกรงใจใคร
ทำให้หมอฉุยรู้สึกเลือดขึ้นหน้าที่โดนสบประมาทเข้าแบบนี้
“หมอผีอย่างผมไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน
วันนี้ถ้าไม่เป็นเพราะพ่อหนุ่มคนนั้นเข้ามาขัดขวาง ผมคงจะขับไล่นังผีตนนั้นมันไปแล้ว
ถ้าคุณไม่เชื่อ คืนนี้ผมจะทำพิธีจับมันอีกครั้งให้คุณดู”
“ไม่เอาล่ะ…ฉันขี้เกียจเสียเวลา หมอกับคุณโฉมศรีจัดการเอาเองแล้วกัน
ถ้าทำได้จริงอย่างที่หมอพูด ฉันจะเพิ่มรางวัลให้อีกหมื่นหนึ่ง”
หญิงสาวพูดเหมือนกับจะตัดความรำคาญ
**********
“เป็นความจริงอย่างงั้นหรือปื๊ด?”
ต้นถามเมื่อเด็กหนุ่มคาบข่าวนี้มาบอกที่ห้อง
“จริงครับพี่ต้น…ตาหมอฉุยแกเสียหน้ามากที่โดนคุณแตนพูดดูถูกเอาไว้
แกบอกว่าจะทำพิธีเรียกวิญญาณคุณวนาเอาไปถ่วงน้ำให้ได้เลย
ท่าทางแกขึงขังเอาจริงเอาจังนะพี่ต้น”
“ให้เขามาเถอะ…;นาจะสั่งสอนให้รู้สึกเข็ดหลาบเอาไว้เสียบ้าง”
นางไม้สาวบอกอย่างไม่ยี่หระ ที่หล่อนยอมอ่อนข้อให้
เพราะไม่ต้องการให้มีเรื่องราวใหญ่โต แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยังไม่ยอมรามือ
เห็นทีหล่อนจะต้องตอบโต้ให้รู้ฤทธิ์เสียบ้างล่ะ
“คุณเป็นคนบอกผมเองว่า หมอผีคนนี้มีวิชาอาคมไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน
ผมว่าอย่าประมาทดีกว่านะครับคุณวนา”
ต้นอดแสดงความเป็นห่วงไม่ได้ ถึงยังไงเขาไม่อยากอยากให้นางไม้สาวต้องมีอันเป็นไป
“อย่าห่วงเลยค่ะคุณต้น
นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ตาหมอฉุยแกไม่กล้ามาตอแยกับวนาอีก
รับรองว่าไม่มีอะไรแน่ สบายใจเถอะค่ะ…”
“ที่จริงแล้ว ผมไม่อยากให้คุณวนาต้องไปสู้รบปรบมือกับหมอผีเลย
แต่ในเมื่อมันจำเป็นก็เอาเถอะ จะให้ผมช่วยอะไรบ้างบอกมาแล้วกัน”
“คุณต้นไม่ต้องช่วยอะไรทั้งสิ้น คราวนี้แค่คอยดูอยู่เฉย ๆ พอแล้ว
ทุกอย่างวนาจะจัดการเอง”
“มันจะดีเหรอครับคุณวนา?”
ปื๊ดรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก ว่าวนาจะสู้กับหมอฉุยได้
“ฮื่อ ! ไว้ใจเถอะคุณปื๊ด
ขอบใจนะที่โทร.ไปเรียกคุณต้นกลับมาช่วยแล้วยังอุตส่าห์เอาเรื่องนี้มาบอกให้รู้อีกด้วย
คุณช่างดีกับวนาจริง ๆ”
“คุณวนาช่วยชีวิตผมไว้จากหมีควาย ผมจึงต้องตอบแทนพระคุณของคุณวนาบ้างน่ะซิครับ
เอาไว้คืนนี้ผมจะอยู่ช่วยเป็นกำลังใจคุณวนาอีกคน”
“อ้าว ! แล้วปื๊ดไม่ไปทำงานหรอกเหรอ?” ต้นพูดดีกคอ
“ธ่อ ! พี่ต้น…มีเรื่องน่าสนุกตื่นเต้นอย่างงี้…พลาดได้เสียเมื่อไหร่ล่ะ”
**********
ดึกสงัดของคืนนั้น
หมอฉุยหอบอุปกรณ์ต่างๆเดินทางมาที่อพาร์ตเม้นท์อย่างเงียบ ๆ
โฉมศรีนั่งรออยู่ในสำนักงาน หล่อนเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาบนฝาผนัง
เมื่อชายสูงอายุผลักประตูกระจกเข้ามา เข็มนาฬิกาบอกเวลาอีกสิบนาทีจะเที่ยงคืน
“ทำไมแอบมาเงียบ ๆล่ะจ๊ะหมอ?”
“ผมให้แท็กซี่ส่งแค่ปากซอยแล้วเดินมา ไม่อยากกระโตกกระตากให้ใครรู้”
“อ้าว ! ลุงม้วน แม่แจ่มนั่งซื่อบื้อกันอยู่ได้…ช่วยรับของหน่อยซี่”
สาวใหญ่หันไปเอ็ดเอากับชายหญิงสูงอายุทั้งคู่
ซึ่งถูกกะเกณฑ์ให้มาช่วยงานในครั้งนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไรนัก
ลุงม้วนกับแม่แจ่มรีบลุกขึ้นเดินไปรับข้าวของที่หมอฉุยถือมาตามคำสั่งของผู้ที่เป็นนายจ้าง
มีพานเงินขนาดย่อมกับหม้อดินเผาอย่างละหนึ่งใบ และไม้รวกยาวประมาณเมตรกว่า ๆ
อีกสี่อัน
“แล้วนี่หมอจะทำพิธีกันตรงไหนล่ะ?”
โฉมศรีถาม
“สนามหญ้าข้างหน้านี่แหละ
เวลานี้กำลังเหมาะ เพราะปลอดคนดี”
“ลงมือเดี๋ยวนี้เลยเหรอ?”
“เอาเลยซี่…ทุกคนตามผมมา”
หมอฉุยเดินนำหน้าเจ้าของอพาร์ตเม้นท์ และลูกจ้างทั้งสองที่ช่วยกันถือของอยู่ออกไปยังสนามหญ้าข้างตัวอาคาร
เลือกได้สถานที่เหมาะ ๆระหว่างต้นสนริมรั้ว
หมอผีสั่งให้ลุงม้วนปักไม้รวกทั้งสี่อันกับพื้นสนามหญ้า
เว้นระยะห่างประมาณสองเมตรทั้งสี่มุม
จากนั้นชายสูงอายุผู้มีวิชาอาคมจึงล้วงด้ายสายสิญจน์กลุ่มใหญ่ออกมาจากย่าม
เอาพันมัดไว้กับปลายไม้รวก โยงเป็นมุมรอบ สั่งให้ทุกคนไปนั่งในวงสายสิญจน์
วางหม้อดินกับพานลงบนพื้น หยิบธูปเทียนกับไม้ขีดไฟออกมา
จุดเทียนก่อนแล้วจึงจุดธูปทีหลัง
“ถ้าเห็นอะไรอย่าตื่นเต้นตกใจเป็นอันขาด
จงนั่งดูอยู่เฉย ๆ ไม่อย่างงั้นจะเสียพิธีหมด”
หมอฉุยกำชับชาเสร็จ จึงยกธูปที่จุดขึ้นพนมนั่งตั้งสมาธิแน่วแน่
ว่าคาถาพึมพำเบาๆ
เวลาค่อย
ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนที่นั่งดูอยู่เริ่มรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ
โฉมศรีเงยหน้ามองขึ้นไปที่ตัวอาคาร
แสงไฟในห้องพักทุกห้องล้วนดับมืดแสดงว่าเวลานี้ทุกคนต่างเข้าหลับเข้านอนกันหมดแล้วเป็นการดีอยู่อย่าง
จะได้ไม่มีใครมาแอบสอดรู้สอดเห็นทำให้เสียพิธี
หารู้ไม่ว่า
ปื๊ดแอบดูอยู่ตรงเชิงบันไดชั้นที่สองตั้งนานแล้ว เด็กหนุ่มค่อย ๆ
ย่องขึ้นบันไดไปที่ห้องของต้น แล้วเคาะประตูเรียกเบา ๆ พอได้ยิน
ชายหนุ่มเปิดประตูออกมา
“หมอผีมาแล้วพี่ต้น…กำลังทำพิธีอยู่ที่สนามหญ้าแน่ะ”
“คุณวนาเธอรู้แล้ว กำลังออกไปเตรียมรับมืออยู่”
“งั้นเรารีบไปดูกันเถอะนะพี่ต้น”
“เดี๋ยวก่อน…เธอสั่งไว้ว่า
ไม่ให้เราไปทำลายพิธีเป็นอันขาด ให้แค่แอบดูเฉย ๆ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินนำต้นย่องไปแอบดูเชิงราวบันไดชั้นสองอันเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ถนัดชัดเจนที่สุด
หมอฉุยปักธูปไว้ตรงหน้าข้างหม้อดินเผาจากนั้นจึงพนมมือหลับตาว่าคาถาพึมพำต่อ
ทั้งโฉมศรี ลุงม้วนและแม่แจ่ม แทบไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เพราะกลัวจะเกิดเสียงดังไปรบกวนสมาธิของหมอผี
ที่กำลังขะมักเขม้นทำพิธีอยู่ ได้แต่นั่งมองตากันปริบ ๆ
สายลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาวูบหนึ่ง
เปลวเทียนที่จุดไว้ไหวพลิ้วไปตามแรงลม และหรี่ลงจนเกือบจะดับมอด
ก่อนที่จะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
นกหากินกลางคืนกกระพือปีกบินผ่านไป
ส่งเสียงร้องแหลมเล็ก บาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจของทุกคน บรรยากาศในตอนนี้
ชวนวังเวงน่าขนลุกขนพองยิ่งนักความมืดที่โรยตัวอยู่โดยรอบ
และเสียงพึมพำว่าคาถาของหมอฉุยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูน่ากลัวไปเสียหมด
ลุงม้วนกับแม่แจ่มนั่งตัวแข็งทื่อ
นอกจากลูกนัยน์ตาเท่านั้นที่กลอกกลิ้งไปมาคอยชำเลทองมองดูรอบด้านอย่างหวาดระแวง
และแล้ว…มีบางสิ่งบางอย่างเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ที่ลานจอดรถใต้ถุนอพาร์ตเม้นท์
เป็นร่างของคนสามคนค่อย ๆ ขยับก้าวออกมาจากเสาแต่ละต้น
แสงไฟนีออนที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตรงลานจอดรถสว่างพอที่จะทำให้แลเห็นใบหน้าของคนทั้งสามได้อย่างถนัดชัดเจน
แต่ละคนมีใบหน้าที่บวมฉุ
น้ำเหลืองไหลเยิ้มเบ้าตาลึกลงไป ให้เห็นลูกตาทั้งสองข้างใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปอง
ทุกคนแต่งชุดสีดำขาดวิ่นเหมือนกันหมด สภาพร่างกายไม่แตกต่างจากใบหน้าเท่าไรนัก
เนื้อหนังบางส่วนหลุดลุ่ยจนเห็นกระดูกขาวโพลน
พวกมันต้องเป็นผีไม่ใช่มนุษย์
ลุงม้วนเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาเพราะความกลัว แต่พอนึกถึงคำสั่งของหมอฉุย
เลยได้แต่อ้าปากค้างตาเหลือกมองดูอย่างรู้สึกขนลุกขนพอง
ซากศพเดินได้ทั้งสาม
กำลังย่องก้าวเข้ามาที่สายสิญจน์อย่างช้า ๆด้วยท่าทางอันแข็งทื่อ
คล้ายกับถูกมนต์สะกด กลิ่นสาบสางที่โชยมากับสายลม เหม็นคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน
เมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้
หมอฉุยหยุดท่องคาถาลืมตาขึ้นมามอง
ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“กูไม่ได้เรียกพวกมึง เสือกมาทำไม…กลับไปเสีย!”
อมนุษย์ทั้งสามหาได้ฟังเสียงไม่ ยังคงเดินทื่อเข้ามาหา
หมอฉุยล้วงมือลงไปในย่าม หยิบข้าวสารเสกขึ้นมาเต็มกำมือ ยกขึ้นจรดพึมพำว่าคาถา
แล้วซัดออกไป
“ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ….เจ้าพวกสัมภเวสี”
ทั้งสามเกิดอาการดิ้นรน แผดเสียงร้องโหยหวนอย่างรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
จากนั้นพวกมันจึงได้หายวับไปต่อหน้าต่อตา
“พวกนี้เป็นใครกันน่ะหมอ?” โฉมศรีกระซิบถามเสียงเบา
“วิญญาณที่เร่ร่อน ให้กินเครื่องเซ่นเมื่อตอนกลางวันยังไม่รู้จักพอ
จะมาขออีกเลยต้องไล่พวกมันไป”
สาวใหญ่หุบปากเงียบ ขนลุกขนพองขึ้นมาทันทีคาดไม่ถึงว่า
ในอพาร์ตเม้นท์ของหล่อน จะมีวิญญาณเร่ร่อนมาสิงสู่อยู่อย่างนี้ แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านๆ
มามีวิญญาณเหล่านี้คอยป้วนเปี้ยนอยู่โดยที่มองไม่เห็นน่ะซิ นึกขึ้นมาแล้วให้รู้สึกเสียวสยองยิ่งนัก
ทันใดนั้น
มีลูกไฟดวงใหญ่สีชมพูเรื่อ ๆปรากฏขึ้นที่กันสาดชั้นสามของอพาร์ตเม้นท์ แล้วค่อย ๆ
กลับกลายเป็นร่างนางไม้สาวพุ่งทะยานลอยละลิ่วลงมาที่สนามหญ้า
วนาทิ้งตัวลงสู่พื้น
ยืนยืดอกเชิดหน้ามองดูหมอฉุยอย่างไม่มีอาการเกรงกลัว
“เจ้าเรียกข้ามาทำไม…ต้องการพบข้ายังงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว….เจ้าเที่ยวสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น
ข้าจึงจำเป็นที่จะต้องมาจัดการกับเจ้า!”
หมอผีเฒ่าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่วางอำนาจ
“เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้า?”
“อย่าโอหังไปนักเลย….ข้านี่แหละจะเป็นผู้จับวิญญาณของเจ้าเอาไปถ่วงทิ้งน้ำเสีย!”
“ข้าไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร
นอกจากคนผู้นั้นจะมาทำความเดือดร้อนให้กับข้าก่อน ถ้าเจ้าคิดว่าสามารถที่จะจัดการกับข้าได้
จงแสดงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าออกมา!”
นางไม้สาวกกล่าวท้าทาย ยั่วยุให้หมอฉุยเป็นคนลงมือก่อนเพื่อหยั่งเชิง
ได้ผล….หมอเฒ่าเกิดอาการฉุนเฉียวจนหนวดกระดิก
ตาลุกโพลนขึ้นมาในทันทีที่โดนท้าทาย รีบล้วงมือหยิบมีดหมอออกมาจากย่าม
จัดแจงยกขึ้นจรดเหนือศีรษะว่าคาถากำกับ
แล้วใช้มีดหมอเล่มนั้นชี้ตรงไปยังร่างของนางไม้สาว
“ด้วยอำนาจของเทพยดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
ข้าขอสั่งให้เจ้าจงลงมาอยู่ในหม้อใบนี้ ณ บัดนี้!”
จะเป็นด้วยอาคมอันแรงกล้าของหมอฉุย หรืออะไรสุดที่จะเดาได้
ปลายมีดหมอเล่มนั้นพลันปรากฏมีประกายลำแสงพุ่งออกไปเป็นทางยาว
ตรงดิ่งเข้าหาวนาในทันที
นางไม้สาวมีอาการสะดุ้งเล็กน้อย
เมื่อลำแสงนั้นพุ่งเข้าจับต้องร่างของหล่อน รู้สึกคล้ายมีพลังเร้นลับอะไรบางอย่าง
ดึงดูดหล่อนเข้าไปหาวงสายสิญจน์
นับว่ายังโชคดีที่นางไม้สาวมีการเตรียมตัวรับมือเอาไว้อยู่แล้ว
ร่างนั้นจึงเพียงแค่ซวนเซถลำไปข้างหน้าสองสามก้าว
หล่อนรีบผนึกพลังอำนาจที่มีอยู่ออกมาต้านเอาไว้
ทำให้รอบกายปรากฏรัศมีสีชมพูอันเรืองรอง
แสงอาคมจากมีดหมอดับวูบลงในทันที
หมอผีเฒ่านั่งตะลึงหน้าถอดสี
เห็นชัดว่าคู่ต่อสู้มีพลังอำนาจทีเหนือกว่ามากนัก
มีดหมอของตนถึงได้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เป็นแน่นอนแล้วว่า
นี่ไม่ใช่ดวงวิญญาณผีสางนางไม้ธรรมดา ต้องเป็นนางไม้ชั้นเทพที่มีบุญบารมีอันสูงกล้า
แต่ด้วยทิฐิมานะ หมอฉุยหาได้ยอมแพ้ง่าย ๆไม่ ล้วงมือลงไปในย่าม
หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางลงบนพื้นตรงหน้า
เป็นควายตัวเล็ก
ๆ ที่ปั้นด้วยดิน เขาโง้งแหลมเฟี้ยวยาวน่ากลัว หรือที่พวกหมอผีเรียกกันว่า
ควายธนูนั่นเอง
หมอฉุยจะใช้ควายธนูตัวนี้เข้าต่อสู้ห้ำหั่นกับนางไม้สาวให้หล่อนหมดแรง
สิ้นพละกำลังเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยจับถ่วงใส่หม้อดิน
รีบยกมือขึ้นพนมว่าคาถาแล้วเป่าพรวดออกไป
ควายธนูตัวนั้นพลันหายวับไปจากพื้น
แล้วไปปรากฏเป็นควายตัวใหญ่อยู่นอกวงสายสิญจน์ ตัวดำมะเมี่ยม ท่วงท่าดุร้ายน่ากลัว
มันยกขาหน้าขึ้นตะกุยพื้นสองสามที
หายใจดังฟืดฟาด แล้วก้มหัวลงต่ำ พุ่งทะยานเข้าหาวนาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า
ทุกคนที่อยู่ในวงล้อมของสายสิญจน์
ต่างพากันจ้องมองจนแทบไม่กระพริบตา อย่างรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว
แต่เขาอันแหลมโง้งของควายธนู
หาได้สัมผัสกับร่างของวนาไม่ ในเสี้ยววินาทีที่มันพุ่งเข้ามาจะถึงตัว หล่อนรีบทะยานขึ้นจากพื้นดินทำให้มันถลำเลยเฉียดผ่านไปอย่างหวุดหวิดเต็มที่
นางไม้สาวบังคับตัวเองให้ลอยอยู่ในอากาศ
แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าควายธนูซึ่งกว่าจะตั้งหลักได้ก็วิ่งเลยไปเสียตั้งไกล
เจ้าควายมนต์แหงนหน้าขึ้นมองศัตรูของมัน
ทำเสียงขู่คำรามในลำคออย่างดุร้าย จากนั้นจึงเริ่มออกวิ่งเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เร็วขึ้น…แล้วพุ่งทะยานลอยละลิ่วขึ้นไปจากพื้นดินตรงเข้าหาวนา
เหมือนกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกไป
เสียงปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว
ร่างนางไม้สาวที่ถูกชน ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศสูงขึ้นไปอย่างเสียหลัก
ควายธนูไม่ยอมปล่อยโอกาสทองของมันให้หลุดมือไป
รีบพุ่งตามติดขึ้นขึ้นไปหมายพิฆาตศัตรูให้อยู่มือ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่วนาเริ่มตั้งตัวได้
พอเหลือบเห็นเช่นนั้น หล่อนจึงซัดฟ่ามือออกไป ปล่อยลูกไฟดวงใหญ่พุ่งเข้าหาเจ้าสัตว์ร้าย
บังเกิดเสียงกึกก้องปานเสียงฟ้าผ่า
ควายธนูตัวนั้นพลันระเบิดออกหายวับไปในทันที
ที่พื้นหญ้าตรงหน้าของหมอฉุย
มีเศษดินชิ้นเล็กชิ้นน้อยปรากฏขึ้น
เกือบแหลกละเอียดจนแทบดูไม่ออกว่าของสิ่งนี้เคยเป็นรูปปั่นควายธนูมาก่อน
จนปัญญาที่คิดหาญจะต่อกรกับนางไม้สาวอีกต่อไปแล้ว
หมอฉุยรีบผุดลุกขึ้น กระโจนพรวดออกนอกวงสายสิญจน์
คิดอยู่อย่างเดียวต้องรีบหนีไปให้ไกล ก่อนที่จะมีภัยมาถึงตัว
แต่ทว่า….มันสายเกินไปเสียแล้ว
การกระทำทุกอย่างของหมอฉุย
อยู่ในสายตานางไม้สาวตลอดเวลา หล่อนสะบัดมือออกไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีลูกไฟดวงเล็ก
ๆ พุ่งตรงเข้าหาหมอฉุย และปะทะเข้าที่กลางหลังหมอผีเฒ่าอย่างจัง
ร่างที่กำลังวิ่งหนีอย่างตาลีตาลาน
พลนถลาทิ่มพรรวดลงกับพื้นดิน
เพียงเท่านั้นเอง
ภายในวงสายสิญจน์เกิดการแตกฮือเหมือนผึ้งรังแตก
ทั้งโฉมศรีเจ้าความคิดที่เชิญหมอผีปราบวนา กับชายหญิงสูงอายุที่เป็นลูกจ้างต่างพากันโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต
เผ่นพรวดกันไปคนละทิศคนละทาง หายวับกันไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ
วนาลอยลงมาหาหมอฉุย
ซึ่งกำลังกระเสือกกระสนถดถอยหนี จนลนลานด้วยความหวาดหวั่นกลัว
ตามเนื้อตามตัวถลอดปอกเปิกไปหมด สารรูปแทบดูไม่ได้ มิได้มีมาดของหมอผีผู้หยิ่งทระนงหลงเหลืออยู่อีกเลย
“ข้าเตือนเจ้าแล้วไม่ยอมเชื่อ !
ทีนี้เห็นฤทธิ์ของข้าบ้างหรือยังล่ะ?”
“กะ…กะ….กลัว….กลัวแล้วจ้ะ แม่เจ้าประคู้น….ฉันไม่กล้าอวดดีอีกต่อไปแล้วจ้ะ…ได้โปรดไว้ชีวิตของฉันเถอะนะ! !”
หมอฉุยพนมมือแต้ ละล่ำละลักบอกปากคอสั่นไปหมด
“ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตให้
แต่จงจำเอาไว้นะ…ถ้ายังคิดจะลองดีกับข้าอีก..เจ้าจะไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับไปแน่ !!”
“จ้ะ…จ้ะ…ไม่เอาแล้ว
ฉันไม่กล้าอีกแล้วจ้ะ”
“รีบไปให้พ้น…แล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก…ไปซี่! !”
นางไม้สาวตวาดสำทับ หมอฉุยรีบลุกขึ้นกระโจนพรวด โกยอ้าวออกไปจากอพาร์ตเม้นท์ในทันที
**********
ในตอนเช้าของวันต่อมา
ปื๊ดอดรู้สึกขำไม่ได้ทีเห็นโฉมศรีนั่งตาเหม่อลอยอยู่ในสำนักงาน
ผมเผ้าบนศีรษะลุกชูตั้งชัน คล้ายถูกอบในเครื่องอบผมที่มีความร้อนเกินขนาด
ใบหน้าซีดเซียวจนแทบจะไม่มีสีเลือด
“เป็นอะไรไปน่ะเจ๊โฉม…ไม่สบายเหรอ?”
เด็กหนุ่มผลักประตูกระจกยื่นหน้าเข้าไปทักทาย
“ไปให้พ้นนะเจ้าปื๊ด….มันไม่ใช่เรื่องอะไรของแก!”
“เมื่อคืนผมได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่า ทั้ง ๆที่ฝนไม่ได้ตกสักหน่อย
หรือว่าเจ๊จะโดนฟ้าผ่ามา?”
ปื๊ดยังอดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ได้ เท่านั้นแหละ โฉมศรีถึงกับเป็นฟืนเป็นไฟตาลุกวาว
“ไอ้ปื๊ด…ไอ้ชาติหมา…ไอ้….ไอ้”
เสียงด่าโขมงโฉงเฉง
พร้อมกับข้าวของบนโต๊ะที่ถูกจับขว้างมาจนปื๊ดแทบหลบไม่ทัน เด็กหนุ่มรีบปิดประตู
เผ่นอ้าวหนีไปอย่างรวดเร็ว ! ! !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น