โดย...เจิด จินตนา
29...
เตียงนางไม้กลับมาปรากฎขึ้นในห้องของต้นอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มยังไม่หายระทึกใจกับเหตุการณ์
ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆแลยทำให้นั่งนิ่งเป็นเบื้ออยู่บนเตียงนั้น
“เราปลอดภัยแล้ว….ไปอาบน้ำเสียก่อนเถอะนะคะ” ได้ยินเสียงบอกของนางไม้สาว ต้นจึงรู้สึกตัว เขาหันมองไปที่หน้าห้องน้ำ นึกถึงภาพของเจ้าอสุรกาย ที่ฉุดเขาเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
นั้นแล้วอดขนลุกซู่ขึ้นมาด้วยความประพรั่นพรึงไม่ได้
ดูเหมือนวนาจะเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มดี หล่อนยิ้มนิดๆ
ยืนมือมาแตะที่ต้นแขนของเขาเบาๆ
“อาจารย์บูยกำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ อย่างน้อยในเวลานี้เขาก็ทำอะไรคุณต้นไม่ได้หรอกนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบเป็นการแก้เขิน แล้วลุกจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ในห้องนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวให้เห็นอีก เขาจึงอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณอย่างสบายอกสบายใจ
สินนาทีต่อมาต้นใส่ชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นหมอนและผ้าห่มของเขา ถูกวางเคียงข้างกับของนางไม้สาวอยู่บนเตียง
ชายหนุ่มไม่คิดอะไร
เขาก้าวไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบกระป๋องแป้งฝุ่นขึ้นมาผัดหน้าโรยตัว หวีผมหวีเผ้าให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินกลับมาจะเอื้อมมือหยิบหมอนกับผ้าห่ม ไปปูที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่นอนประจำ
“ขึ้นมานอนบนเตียงนี้เถอะนะคะ……” นางไม้สาวจับมือเขาไว้ ยิ้มให้อย่างอ่อนหวานน่ารัก
“แต่นี่มันเตียงของคุณ…..ไม่เหมาะนะครับคุณวนา” ชายหนุ่มอิดเอื้อน
“วนาอนุญาตเฉพาะคุณต้นคนเดียวเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณต้นเอง…..”
“ทำไมหรือครับ ?”
“วนาไม่แน่ใจว่าอาจารย์บุญจะแอบเล่นงานคุณต้นเข้าอีกเมื่อไหร่ จึงอยากให้คุณต้นอยู่ใกล้ๆกับวนาไว้ มีอะไรผิดปกติขึ้นมาจะได้ช่วยคุณต้นทัน”
“แล้วคุณวนาไม่กลัวผมจะเผลอตัว ลวนลามคุณหรือครับ ?”
ชายหนุ่มถามทีเล่นทีจริง
“จะต้องไปกลัวทำไม ก็คุณต้นบอกว่ารักวนาไม่ใช่หรือคะ ?”
หล่อนมองสบตาของเขา
ดวงตาคู่นั้นมีประกายแห่งความห่วงใยแฝงอยู่ ชายหนุ่มโน้มตัวลงจุมพิต ที่แก้มปลั่งเบาๆ หล่อหลับตาพริ้มไม่ขัดขืน
กลิ่นหอมนุ่มนวล
เร้าอารมณ์ปรารถนาของชายหนุ่มให้ลุกโชนขึ้นมา ต้นนั่งลงบนเตียงโอบไหล่ นางไม้สาวให้เอนนอนลง
ยื่นจมูกเข้าไปใกล้วงหน้างามที่กำลังหลับพริ้มอยู่นั้นหมายชมความหอมหวน
ของนวลนางให้สมรัก
“อย่าค่ะคุณต้น……” หล่อนลืมตาขึ้น ใช้มือกันใบหน้าของเขาไว้ ก่อนที่จะล่วงล้ำลงมาใกล้กว่านี้ “ไม่ใช่เวลานี้….มัน….มันยังไม่ถึงเวลา…..”
“โธ่……คุณวนา แล้ว……แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ?”
“จนกว่าวนาจะแน่ใจว่าคุณต้นไม่มีคนอื่นอยู่ในใจแล้วจริงๆ”
************
อาจารย์บุญถูกทิ้งให้นอนอยู่ในพงหญ้าที่ป่าช้าอีกนานแสนนาน
กว่าหมอฉุยกับเจ้าอ้นจะย้อนกลับมาดูและเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงช่วยกันหามร่างของแกกลับไปรักษาที่บ้าน
อาการของหมอผีผู้มีวิทยาคมขลังดูจะหนักกว่าเมื่อครั้งที่หมอฉุยปะทะกับนางไม้สาวอีกหลายเท่าตัวนักตามเนื้อตามตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล ที่หน้าอกทีรอยฟกช้ำดำเขียวเป็นป้านใหญ่ กระดูกกระเดี้ยวในกายคล้ายกับจะหักหมดจนป่นปี้ นอนร้องครวญครางอยู่บนฟูกตลอดเวลา
“โอย…..โอย……ข้าปวดเหลือเกินรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปหมดทั้งตัว มันมันทรมานจริงๆ โอย…โอย….”
“ก็ไม่ควรเลยนี่อาจารย์บุญ ฉันห้ามแล้วก็ยังไม่ยอมฟัง” หมอฉุยส่ายหน้าอย่างรู้สึกสังเวชใจ ในสภาพของอาจารย์บุญเวลานี้
เขากับเจ้าอ้นกำลังช่วยกันชโลมทาน้ำมันยาตามเนื้อตัวของอาจารย์บุญอยู่
“กูคิดไม่ถึงว่าอีนางไม้ตนนี้ มันจะมีฤทธิ์เดชมากมายถึงขนาดนี้….มันมันทำให้กูเจ็บมากจริงๆ โอย…..โอย…”
“ฉันกับลุงฉุย คิดว่าอาจารย์ถูกมันฆ่าตายไปเสียแล้วอีก นี่ดีนะที่มันยังยอมไว้ชีวิต ไม่คิดซ้ำเติมอาจารย์ ไม่งั้นป่านนี้อาจารย์คงไม่ได้มานอนร้องโอยๆ
อยู่อย่างงี้แล้ว” เจ้าอ้นบอก
“ไอ้ฉิบหายอ้น !”
อาจารย์บุญออกปากด่า
ทั้งๆที่ยังนอนเจ็บ “คนอย่างกูตายยากโว้ย
มึงไม่ต้องมาแช่งคอยดูนะ……กูจะต้องแก้แค้นอีกนางไม้ตัวแสบให้ได้ โอย…..โอย…”
“โห…! อาจารย์….โดนเข้าไปขนาดนี้แล้วอาจารย์ยังไม่เข็ดอีกเหรอ ?” เด็กหนุ่มหน้าผีอุทาน
“ยัง…ยัง…ตราบใดที่กูยังมีชีวิตอยู่ กูจะตามจองล้างจองผลาญมัน เอาชนะมันให้ได้…”
“แต่ฉันว่าพอดีกว่านะอาจารย์อีนังนี่ไม่ใช่ภูตผีธรรมดา อย่าไปเสี่ยงกับมันนอีกเลย……” หมอฉุยเตือนด้วยความหวังดี
“ไม่….คนอย่างอาจารย์บุญจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด รู้ไปถึงไหนอายเขาถึงนั่น….รอให้ข้าหายดีเสียก่อนเถอะข้าจะหาวิธีจัดการกับมันใหม่!”
สีหน้าของอาจารย์บุญเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มันสุมแน่นอยู่ในอก แม้จะยังรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววอาฆาตมาดร้าย
************
เช้าวันนี้อากาศสดใสมาก ต้นนอนตื่นสายกว่าปกติ
เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้หลับอย่างสุขสบายบนเตียงอันอ่อนนุ่ม จึงนอนเพลินไปหน่อย วนาต้องปลุกให้เขาลุกขึ้น อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
ขณะที่กำลังแต่งตัว ปื๊ดก็เข้ามาหา เพราะความร้อนใจอยากรู้เรื่องของอรอนงค์
“ได้เรื่องยังไงบ้างพี่ต้น”
“พี่บอกเธอไปแล้ว
เธอยอมรับปากว่าจะพยายามหาทางเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณพ่อของปื๊ดอีกต่อไป”
“ดีครับพี่ต้น….ถ้าเป็นอย่างงั้นได้จริง
เรื่องราวมันจะได้ยุติลงเสียที”
“ใครคะ….คุณอรอนงค์หรือ ?” วนาซึ่งนั่งฟังอยู่บนเตียงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ใช่ครับคุรวนา….ผมเป็มคนขอร้องให้พี่ต้นช่วยพูดกับผู้หญิงคนนั้นเอง ” ปื๊ดบอก
“งั้นเหรอ
แล้วคุณต้นพูดยังไงเธอถึงยอมเชื่อล่ะ ? ” หล่อนหันมาถามชายหนุ่ม
“ไม่มีอะไรหรอก
ผมเพียงแต่ชี้ให้เธอเห็นปัญหายุ่งยากที่จะตามมา ถ้าเธอยังขืนยุ่งเกี่ยวกับ
คุณพ่อของปื๊ดอีกต่อไปเท่านั้นเอง
เธอยังสาวยังสวยคงจะหาผู้ชายคนใหม่ได้ไม่ยากนัก”
“อย่างเช่นคนที่บอกกับเธองั้นใช่มั้ยคะ ?”
โดนถามจี้ถูกจุดเข้าแบบนี้
ชายหนุ่มถึงกับอึกอักพูดอะไรไม่ออก
ทำทีเป็นหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาถือ
“ผมต้องรีบไปทำงานก่อนล่ะสายมากแล้ว ปื๊ดอยู่คุยกับคุณวนาก็แล้วกันนะ…..” บอกแล้วรีบเดินตัวปลิวออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มยืนมองตามทำตาปริบๆ เขาพออ่านความรู้สึกของต้นออกชายหนุ่มคงไม่อยากให้เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้านางไม้สาว แต่จะทำยังไงล่ะในเมื่อพลั้งปาก
พูดออกไปแล้วนี่
“อ้อ…ผม…ผมขอตัวกลับไปที่ห้องดีกว่านะครับ” ปื๊ดหันมาบอกกับวนา แล้วทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่ถูกหล่อนเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไปค่ะคุณปื๊ด
วนามีเรื่องจะปรึกษาด้วย”
“เรื่องอะไรหรือครับคุรวนา ?”
เขาจำเป็นต้องอยู่ฟัง
“เมื่อคืนเราถูกหมอผีเล่นงานอีก
!”
“ฮ้า ! หมอฉุยน่ะเหรอครับ
?”
“ไม่ใช่หรอก….หมอผีคนนี้ชื่ออาจารย์บุญ…” หล่อนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ให้กับเด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์ฟังจนหมดสิ้น
“โอ้โฮ……..งั้นหมอผีคนนี้ก็น่ากลัวไม่ใช่น้อยน่ะซิครับคุณวนา ?”
“ถูกแล้วค่ะคุณปื๊ด……ด้วยเหตุนี้แหละที่วนาจึงอดเป็นห่วงคุณต้นไม่ได้”
“ทำไมหรือครับ ?”
“อาจารย์บุญเป็นหมอผีที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตมาก วนากลัวว่าเขาอาจจะใช้เวทมนต์ลอบทำร้าย
คุณต้นอีก”
“จริงซินะครับ…คุณวนาไม่น่าปล่อยให้มันมีชีวิตรอดไปได้เลย”
“วนาเป็นเทพยดา มีแต่ช่วยคนไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เรื่องนี้วนาทำไม่ลงหรอก”
“แล้วทำยังไงดีล่ะครับคุณวนาแจ้งตำรวยดีมั้ย
?”
“ไม่มีแระโยชน์หรอกค่ะ คงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน เราต้องหาทางคอยปกป้องคุ้มครองคุณต้นเอง”
“แต่ตอนกลางวันพี่ต้นต้องไปทำงาน
คุณวนาจะช่วยปกป้องพี่ต้นได้ยังไงกันล่ะครับ ?”
“ได้ซี่….ขอเพียงวนาได้รู้จักที่ทำงานของคุณต้นเท่านั้น เรื่องนี้เห็นจะต้องขอความช่วยเหลือ
จากคุณปื๊ดหน่อยนะคะ….”
“จะให้ผมช่วยยังไงหรือครับ ?”
************
โฉมศรีกำลังนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ
หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินลงบันไดอพาร์ตเม้นท์มาจึงเหลือบตาขึ้นมอง เห็นปื๊ดเดินคุยอยู่กับหญิงสาวรูปร่างดีคนหนึ่งสวมกระโปรงสีชมพูเก๋น่ารัก
แต่เห็นหน้าไม่ถนัด
ทั้งคู่กำลังเดินไปที่ลานจอดรถ สาวใหญ่เขม้นมองตามอย่างสงสัย หญิงสาวคนนั้นมีผมยาวนุ่มสลวยรูปร่างคล้ายคนที่หล่อนเคยเห็นมาก่อน นึกแปลกใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีท่าทางสนิทสนมกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนอย่างนั้น
ผู้หญิงคนนั้นซ้านท้ายมอเตอร์ไซด์ของปื๊ดแล่นผ่านหน้าสำนักงาน และกำลังหันมายิ้ม ให้หล่อนพอดี
คุณพระช่วย !
หน้าตาแบบนี้รอยยิ้มแบบนี้โฉมศรีจำได้อย่างติดตา
ใช่แล้ว หล่อนคือผีที่อยู่ในห้องของต้นนั่นเอง สาวใหญ่ขนหัวลุกตั้งขึ้นมาในทันที อ้าปากค้างตาเหลือก รีบพนมมือขึ้นสวดมนต์ผิดๆถูกๆ เสียงสั่นด้วยความสะพรึงกลัว
“เจ้าประคู้….อย่ามาหลอกมาหลอนกันอีกเลย
!!”
ปื๊ดพาวนาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์มาถึงบริษัทประกันที่ต้นทำงานอยู่ เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอด หน้าอาคารสำนักงาน
“พี่ต้นทำงานอยู่ที่ชั้นห้า ทางปีกซ้ายมือนั่นแหละครับ !”
เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับชี้มือให้ดู
วนาก้าวลงจากเบาะท้ายมอเตอร์ไซด์แหงานหน้ามองตาม
“ขอบใจมากนะปื๊ด…กลับไปได้แล้วล่ะ”
“แน่ใจนะ ว่าคุณวนาไม่ต้องการให้ผมอยู่เป้นเพื่อน ?”
“ค่ะ…..วนาไม่อยากให้คุณต้นรู้ตัวว่ามีใครคอยติดตามดูแลเขาอยู่ เขาอาจจะไม่สบายใจ”
“คุณวนากลับเองได้นะครับ?”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว แค่ให้คุณปื๊ดช่วยพามารู้จักก็พอ….ไม่ต้องห่วงหรอกนะ กลบัไปเถอะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
แล้วเข้าเกียร์บังคับให้มอเตอร์ไซด์คู่ชีพแล่นออกไป นางไม้สาวยืนมองตามหลังไปสักครู่หนึ่ง จึงหันมาสนใจกับอาคารสำนักงานประกันภัย
อันใหญ่โตแห่งนั้น
ที่นี่มีคนเดินเข้าออกพลุกพล่านมากหน้าหลายตาเกือบจะตลอดเวลาทำให้หล่อนเกิดอาการประหม่า ไม่กล้าเดินเข้าไปในอาคาร ยืนลังเลอยู่ตรงหน้าประตู
“มาติดต่อธุระหรือครับคุณ
?” พนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นหล่อนยืนเงอะงะ
จึงเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“ใช่ค่ะ….”
“แผนกอะไรหรือครับ ?”
“เอ้อ ! แผนกประกันภัย แต่ดิฉันไปไม่ถูก”
“งั้นเชิญตามมาซิครับ !” เขาเดินนำหล่อนเปิดประตูให้ แล้วพาตรงไปยังลิฟท์ กดปุ่มปิดประตูลิฟท์ออกมา “แผนกประกันภัยอยู่ชั้นที่ห้าเชิญเลยครับ
!”
นางไม้สาวมองดูห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นอย่างงง แล้วหันไปจ้องหน้า พนักงานรักษาความปลอดภัยหนุ่มคนนั้น เห็นเข้ากำลังมองดูหล่อยด้วยท่าทางแปลกใจเหมือนกัน จึงยิ้มเจื่อนๆ
“อยู่…อยู่ในห้องนี้หรือคะ
?”
“ไม่ใช่หรอกครับ….นี่คือลิฟท์ที่จะพาคุณขึ้นไป” พนักงานหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะ เพื่อไม่ให้ เป็นการเสียมารยาทต่อลูกค้า
แล้วก้าวเข้าไปในลิฟท์กดปุ่มให้ลิฟท์จอดที่ชั้น 5 ก่อนจะเดินออกมาบอกกับหล่อน
“ผมจัดการให้แล้ว
พอถึงชั้นห้าประตูก็จะเปิดออกเองเชิญเลยครับ !”
“ขอบคุณค่ะ !” นางไม้สาวยิ้มให้กับเขา แล้วเดินไปในลิฟท์สะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นประตูเลื่อนปิดเข้ามา
เหมือนหล่อนถูกขังเอาไว้ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก จากนั้นจึงรู้สึกว่าห้องนั้น
มันเริ่มเคลื่อนไหวได้
ต้องเหลียวมองไปรอบๆอย่างหวาดๆระคนแปลกใจสงสัย
สักครู่ต่อมา ลิฟท์จึงหยุดนิ่งประตูเปิดออกเอง หล่อนไม่เห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยหนุ่มคนนั้นเสียแล้ว
มีแต่หญิงทำความสะอาดในชุดสีน้ำเงินกำลังใช้ไม้ถูพื้นถูลากไปมา
อยู่ตรงหน้าห้อง
ทุกอย่างนอกห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้เปลี่ยนแปลงไปหมด ไม่เหมือนกับ ตอนที่หล่อนเดินเข้ามา
หรือว่าหล่อนขึ้นมาถึงชั้นที่ห้าแล้ว อาจจะใช่ก็ได้เพราะพนักงานหนุ่มคนนั้น
เป็นคนบอกกับหล่อนเองว่าประตูจะเปิดเมื่อถึงชั้นที่ห้า
หญิงทำควมาสะอาดเหลือบตามองมาที่นางไม้สาวอย่างแปลกใจ ที่เห็นหล่อนยังคงยืนอยู่ในลิฟท์ จะออกก็ไม่ออก
ไปชั้นไหนก็ไม่ไป
วนายิ้มให้อย่างเขินๆ หญิงสาวคนนั้นจึงเลิกสนใจ ก้มหน้าก้มตาถูพื้นตามหน้าที่ต่อไป
ทุกอย่างที่นี่ดูแปลกสำหรับหล่อน ไม่เหมาะแน่ที่จะเดินตามหาต้นอย่างเงอะงะ ให้เป็นที่สงสัยของคนอื่นๆ นางไม้สาวตัดสินใจทำตัวให้หายวับไปในทันที
หญิงทำความสะอาดเหลือบตาขึ้นมองดูลิฟท์ที่ยังเปิดประตูค้างไว้อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ต้องตกใจสะดุ้งเฮือกทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก เมื่อเห็นว่าในลิฟท์มีแต่ความว่างไปเปล่า
ผู้หญิงที่เห็นยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้หายไปเสียแล้วทั้งๆที่หล่อนไม่ได้เดินออกมาจากลิฟท์เลย
************
อรอนงค์ขับรถเก๋งคันงามแล่นมาจอดที่ลานจอดรถบริษัทประกัน…หล่อนก้าวออกมาจากรถ ปิดประตูล็อกแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
อีกสิบนาทีจะได้เวลาพนักงานพักกินข้าวเที่ยงหญิงสาวรีบเดินจ้ำเข้าไปในตัวอาคาร
กดปุ่มเรียกลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นห้า
พอประตูเปิดออก
เห็นพนักงานหลายคนยืนรออยู่ที่หน้าลิฟท์
รู้สึกใจหายวูบ
ตั้งใจจะมาชวนต้นไปกินข้าวด้วยกัน ที่หล่อนมาสายเกินไปหรือเปล่า ป่านนี้ชายหนุ่มมิออกจากที่ทำงานไปแล้วหรือ
รีบก้าวพรวดพราดออกจากลิฟท์ มองเข้าไปยังห้องทำงานของต้น
ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“คุณต้น !”
หล่อนร้องทักแต่ไกล
ผลักประตูกระจกเดินตรงเข้าไปหา
ไม่ยี่หระต่อสายตา ของพนักงานทุกคนที่พากันจ้องมองอยู่
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา
ขมวดคิ้วสงสัย
“มีธุระอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ…คุณอรอนงค์ ?”
“ฟังพูดเข้าแน่ะ……ถ้าไม่มีธุระอรจะมาหาของต้นไม่ได้หรือไงคะ ?” หล่อนตัดพ้อต่อว่าด้วยอาการแง่งอนนิดๆ
“อ๋อ ! ได้ซิครับ…ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นแหละ เพราะคุณอรอนงค์ไม่ได้โทร
นัดหมายมาก่อน”
“อรจะมาชวนคุณต้นออกไปทานข้าวกับอร
บังเอิญขับรถผ่านมาแถวนี้พอดี เลยเพิ่งนึกขึ้นได้ อย่างกระทันหัน”
“รบกวนคุณอรอนงค์เปล่าๆ คุณเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารผมหลายมื้อแล้ว
รู้สึกเกรงใจคุณจริงๆ”
เขาพยายามหาทางบ่ายเบี่ยง
บอกกับตัวเองว่ารู้สึกกลัวเสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดโดยลำพังกับหล่อนสองต่อสอง
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ ก็อรเป็นฝ่ายชวนคุณต้นเอง….ไปเถอะนะคะ อรชักรู้สึกหิวแล้วล่ะ ไหนสัญญาว่าจะไม่ขัดใจอรยังไงล่ะคะ ?” หล่อนทำเสียงออดอ้อนออเซาะ ดวงตาเป็นประกายเยิ้มแล้วถือวิสาสะรั้งแขนจะให้ชายหนุ่มลุกจากโต๊ะทำงาน เหมือนเช่นการกระทำขอหนุ่มสาวคู่รักกัน
“เอ้า !
ก็ได้ครับคุณอรอนงค์”
ต้นไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมงานที่พากันจ้องมองอยู่
จำเป็นต้องลุกขึ้นยืน
อรอนงค์ยิ้มร่าอย่างดีใจ
รีบควงแขนของเขาเดินคลอเคลียออกจากห้องทำงาน
พอเปิดประตูกระจกออกไป
หญิงทำความสะอาดที่หน้าลิฟท์ก็ถอยหลังมาชนต้นเข้าอย่างจัง
“อุ๊ย ! ขอโทษค่ะ…..” เสียงนี้รู้สึกคุ้นๆหู ชายหนุ่มขมวดคิ้วหันมองผู้หญิงคนนั้น
ไม่ยอมหันมาสบตากับเขา
ยังคงยืนหันหลังให้ ก้มหน้าถูพื้นอยู่
ชายหนุ่มรู้สึกข้องใจในอากัปกิริยาแปลกๆ
ของหล่อน เขาเดินไปที่ลิฟ์ พื่อต้องการมองให้เห็นชัดๆ ว่าหล่อนเป็นใคร แต่ผู้หญิงคนนั้นก็กลับหันหลังให้เขาอีก
ประตูลิฟท์เปิดออกแล้ว ต้นจึงเลิกสนใจ ก้าวเข้าไปในลิฟท์กับอรอนงค์ แล้วกดปุ่ม ให้ลิฟท์เลื่อนลงไปชั้นล่าง
หญิงทำความสะอาดคนนั้นหยุดถูพื้น เงยหน้าขึ้นมามอง วนานั้นเอง…..หล่อนปลอมตัวมาแอบฟัง
เพราะอยากรู้ว่า
อรอนงค์มีความสัมพันธ์กับต้น ลึกซึ้งมากน้อยขนาดไหน
กิริยาที่หญิงสาวหุ่นอวบอั๋นแสดงต่อต้น ทำให้นางไม้สาวเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด
มันเป็นความรู้สึกไม่พอใจในตัวผู้หญิงคนนั้น