โดย...เจิด จินตนา
30...
บีเอ็มดับบลิวสีเปลือกมังคุดเคลื่อนตัวช้าๆ
อยู่ในช่องเลนในสุด
บนถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าซึ่งคับคั่งจอแจด้วยยวดยานกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังสะพานลอยลาดพร้าว ในรถเห็นต้นนั่งคู่มา กับอรอนงค์ซึ่งเป็นคนขับ
“จะไปไหนดีคะ”หล่อนหันมาถาม ขณะจอดรอสัญญาณใกล้คอสะพานลอย
“ที่ไหนก็ได้
ตามใจคุณอรอนงค์เถอะครับ”
“งั้นไปรัชดาก็แล้วกัน ที่นั่นมีห้องอาหารอร่อยๆ แล้วก็มีบรรยายกาศเงียบดีด้วย” หญิงสาวเปิดสัญญาไฟขอทางเข้าช่องซ้ายมือสุด ได้จังหวะจึงบังคับรถเก๋งคันงาม
เลี้ยวเข้าถนนหอวัง
ผ้านหน้าเซ็นทรัลพล่าซ่ามาทะลุออกถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายอีกทีมุ่งหน้าไปทางสี่แยกซึ่งตัดกับถนนรัชดาภิเษก
ในรถนอกจากต้นกับอรอนงค์แล้ว ยังมีวนาแอบโดยสารมาด้วย แต่หล่อนไม่ได้ปรากฎตัว ให้ใครเห็นนั่งสงบนิ่งอยู่ที่เบาะหลัง คอยสังเกตอากัปกิริยาของหนุ่มสาวทั้งคู่
ผ่านหน้าแดนเนรมิตไปแล้ว สภาพการจราจรบนถนนค่อนข้างจะติดขัด
เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงพอดีอรอนงค์ขับรถอย่างสบายๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก
“อรใส่ชุดนี้เป็นยังไงคะ
?” จู่ๆหล่อนก็ถามโพล่งขึ้นมา
ต้นเหลือบมองเสื้อยืดแขนกุดสีดำแนบเนื้อเว้าหน้าเว้าหลังลึก เผยให้เห็นเนินอกและแผ่นหลังนวลขาว กับกระโปรงยีนส์ฟอกรัดรูปสั้นจู๋ ที่รั้งขึ้นมาจนเกือบเห็นโคนขาอ่อนแล้วกลืนน้ำลายอย่างผืดคอ
“ก็สวยนี่ครับ ไม่ว่าคุรอรอนงค์จะใส่ชุดอะไรก็ดูสวยทั้งนั้น”
“ถามจริงๆ” หล่อนลอยหน้าลอยตา ลากเสียงยาว
ทำตาเซ็กซี่ยั่วยวน ชายหนุ่มไม่ตอบได้แต่นั่งมองหน้าหล่อนแล้วอมยิ้มนิดๆ
นางไม้สาวนึกหมั่นไส้ยิ่งนัก ชะโงกหน้ามองข้ามพนักพิง
เห็นโคนขาอ่อนคู่นั้นชะเวิบชะวาบเป็นที่ล่อแแหลมตา เพราะกระโปรงสั้นที่อรอนงค์สวมใส่ มันแทบจะปิดบังซ่อนแร้นอะไรต่อ
มิอะไรเอาไว้ไม่อยู่ ขณะที่ต้องนั่งอยู่ในท่าชันเข่าขับรถ
นึกอะไรได้อย่างหนึ่งขึ้นมา
วนาค่อยๆยื่นมือลอดช่องว่างกลางพนักพิงที่แยกเบาะหน้าทั้งสองออกจากกัน ลูบไปบนโคนเขาอ่อนของอรอนงค์อย่างแผ่วเบา
หญิงสาวสะดุ้งนิดๆ หันมองไปทางชายหนุ่มเห็นเขานั่งนิ่งเฉยอยู่ หน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที
คิดว่าเป็นชายหนุ่มแกล้งหยอกหล่อนเล่นแน่
พอดีต้นซึ่งกำลังมองอะไรนอกรถเพลินหันมาสบตาหล่อนเข้า อรอนงค์จึงยิ้มอย่างเขินอาย
รีบเบือนหน้าหนีมองตรงไปยังหน้ารถ
ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงกับกิริยาท่าทางของหล่อน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ที่เบาหลัง
วนาพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้แล้วยื่นมือไปใหม่ คราวนี้หยิกลงไปเต็มแรงบนโคนขาอวบของอรอนงค์
“ว้าย…!” หญิงสาวร้องอุทานเสียงดัง จนต้นหันมามองอีกครั้ง “แหม…..คุณต้นนี่ล่ะก็
เล่นอะไรก็ไม่รู้ซี”
หล่อนต่อว่าพร้อมกับชายตามองค้อนอย่างมีจริตจก้าน ชายหนุ่มยิ่งงุนงงหนักขึ้น
ไม่เข้าใจว่าหล่อนกำลังพูดถึงอะไร ได้แต่ยิ้มแห้งๆ อรอนงค์เลยปักใจเชื่อว่า
ต้องเป็นฝีมือการกระทำของต้นแน่
“อย่าซุกซนนักซีคะคนดี” หญิงสาวยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู แล้วหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง
วนาสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเช่นนั้น รีบชะโงกหน้ามาดูสีหน้าของต้น เห็นเขามีท่าทางงุนงงแปลกใจ หล่อนอมยิ้มนึกขำ
แล้วต้นก็ได้กลิ่นอะไรอย่างหนึ่ง โชยมากระทบจมูกเหมือนกลิ่นหอมอ่อนๆ
ของดอกไม้ป่า
ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย ทำจมูกฟุดฟิด
หยิบน้ำหอมปรับอากาศที่หน้ารถขึ้นมาดมดู
กลิ่นไม่เหมือนกัน
“คุณอรอนงค์ใช้น้ำหอมยี่ห้อใหม่หรอครับ
?”
“เปล่านี่คะ”
นางไม้สาวรีบถอยฉาก กลับไปนั่งสงบนิ่งที่เบาะหลังตามเดิม ก่อนที่ความลับของหล่อนจะแตกออกมา
************
ห้องอาหารแห่งงนั้นพิถีพิถีนในการตกแต่ง มีบรรยากาศหรูหราโอ่อ่า แอร์เย็นฉ่ำ
เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบาดังมาจากลำโพงซึ่งซ่อนอยู่บนเพดาน ไพเราะรื่นหูแสนโรแมนติกนัก
พนักงานต้อนรับพาต้นกับอรอนงค์มาที่โต๊ะมุมในสุด
เบาะติดกันเป็นรูปตัวแอลนุ่มสบายน่านั่งมีพนักพิงสูงกั้นเป็นสัดเป็นส่วนจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของแต่ละโต๊ะ ผ้าลูกไม้สีชมพูฉลุลายน่ารักปูอยู่บนโต๊ะ
ซึ่งวางจานช้อนส้อมห้อด้วยกระดาษสีเดียวกัน ตรงกลางเป็นแจกันดอกกุหลายช่อใหญ่
อรอนงค์รับหน้าที่เป็นคนสั่งอาหาร ตามรายการอาหารในเมนู
“ขอกุ้งอบเกลือ ปลาซาบะย่างซีอิ๊ว ฮาวายเอี้ยน สเต็ก สปาร์เก็ตตี้หอยลาย
แล้วก็ไวน์แดงขวดหนึ่ง”
พนักงานต้อนรับจดของทุกอย่างตามที่หล่อนสั่งลงในสมุดเล่มเล็กๆ
แล้วโค้งอย่างสุภาพก่อนจะเดินผละจากไป
“เป็นยังไงคะ ชอบที่นี่มั้ย ?” อรอนงค์ถามพร้อมกับเลื่อนตัวเข้าไปนั่งเบียดชิดกับชายหนุ่มที่เบาะด้านใน
นางไม้สาวซึ่งยืนรอโอกาสอยู่รีบนั่งลงแทนที่ว่างในทันที
“น่ารักดีนะครับ ตกแต่งบรรยากาศได้เยี่ยมจริงๆ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหันไปมองรอบๆ
“ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เลิฟเวอร์เฮ้าส์ ห้องอาหารสำหรับคนที่กำลังมีความรัก เหมือนอรกับคุณต้นนี่ยังไงล่ะคะ”
หญิงสาวเอียงหน้ามากระซิบบอก ดวงตาเป็นประกายแพรวพราวจนชายหนุ่มต้องรีบหลบสายตาคู่นั้นอย่างรู้สึกประหม่า
ทุกครั้งที่ถูกหญิงสาวเบียดกระแซะใกล้ชิด หัวใจของชายหนุ่มเป็นต้องเต้นตูมตาม
อย่างน่าแปลกใจ
ถึงแม้หล่อนจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารัก
แต่เรือนร่างอันยั่วยวนเร่าร้อนมีเสน่ห์ทำให้จิตใจของเขาอดเต้นตูมตามไม่ได้
“คุณอรอนงค์คงจะเคยมาที่นี่บ่อย”
“ไม่หรอกค่ะ
เสี่ยเคยพามาหนหนึ่งอรชอบบรรยากาศที่นี่มาก ตั้งใจเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งถ้าอรมีคนรักอรจะพาคนที่อรรักมานั่งที่นี่” หล่อนพูดเป็นนัยให้คิด
“เข้าใจเลือกจริงๆ
นะครับ
ผมเองก็ชักจะรู้สึกชอบที่นี่เสียแล้วซี”
ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ
เหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเองตาเหม่อลอยจ้องจับที่ช่อกุกหลาบกลางโต๊ะ ส่วนใจนั้นกำลังนึกถึงใบหน้า
นางไม้แสนสวยที่เขารัก
ถ้าเขาได้มีโอกาสพาหล่อนมานั่งทานอาหารที่นี่สักครั้งหนึ่ง มันคงจะโรแมนติกไม่ใช่น้อย
ต่างคิดกันไปคนละทาง
ต้นไม่รู้หรอกว่าวนาที่เขากำลังคิดถึง เวลานี้หล่อนก็นั่งอยู่ใกล้ๆเขาแล้วนี่เอง
เด็กเสิร์ฟยกถาดเหล้าไวน์กับแก้วทรงสูสองใบมาตั้งบนโต๊ะ เปิดขวดรินไวน์ สีแดงสดใส่แก้วทั้งสองใบ แล้ววางแก้วลงตรงหน้าอรอนงค์กับต้น
“เชิญค่ะคุณต้น เรียกน้ำย่อยกันก่อนไงคะ” หญิงสาวช้อนก้านแก้วทรงสูง ซึ่งบรรจุไวน์เอวไว้ค่อนแก้วยกชูขึ้น ต้นจึงทำตาม
ยกแก้วของตนเองขึ้นชนแก้วหล่อนเบาๆ
“เชียร์!”
วนาเห็นทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยกแก้วไวน์ขึ้นจิบพร่องไปเล็กน้อยแล้ววางลง อยากรู้จริงว่าน้ำสีแดงนี้มันคืออะไร สีของมันดูท่าทางน่ากิน พอทุกคนเผลอ
หล่อนจึงคว้าแก้วไวน์ ของต้นขึ้นมากระดกเข้าปากหมดแก้ว
รสชาติมันออกหวานๆเผือนๆยังไงพิกล จนหล่อนต้องทำหน้าเบ้ รีบวางแก้วกลับคืนที่เดิม รู้สึกลำคอร้อนผ่าวไปหมด ไม่เห็นมันจะน่าอร่อยอย่างที่คิดไว้สักนิด
อาหารที่สั่งถูกทยอยยกมาตั้งบนโต๊ะ ถึงแม้สีสันมันจะดูน่ากิน แต่วนาก็ไม่กบ้าแตะต้อง อะไรอีกเลย
“ลงมือเลยซิคะคุณต้น อาหารของที่นี่อร่อยๆทั้งนั้น” อรอนงค์ออกปากเชื้อเชิญ
บังเอิญเหลือบไปเห็นแก้วของชายหนุ่มว่างเปล่า “ตายจริง คุณต้นชอบดื่มไวน์หรือคะ ดูซิ หมดแก้วแล้ว อรจะรินให้ใหม่นะคะ”
ชายหนุ่มนึกแปลกใจไม่น้อย จำได้ว่าเขาเพิ่งจิบไปนิดเดียวเอง กำลังจะปฏิเสธอรอรนงค์ก็รินไวน์ใส่แก้วให้เขาไปใหม่
“ลองทานปลาซาบะรี่ดูซิคะ เนื้อนุ่มน่าทานจริงๆ” หญิงสาวใช้ส้อมจิ้มเนื้อปลาซึ่งถูกแล่เป็นชิ้นๆ
พอคำ ยื่นมาที่ปากของเขา ชายหนุ่มชะงักมอง
“อ้าปากซิคะ อร่อยนะ
อรจะป้อนให้”
โดนหล่อนคะยั้นคะยอต้นจึงจำต้องอ้าปากรับเพราะไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของหล่อน ท่าทางของอรอนงค์จะดีอกดีใจมาก
“เป็นไง อร่อยมั้ยคะ ?”
“ครับ….อร่อย
ถ้าขืนให้คุณอรอนงค์คอยป้อนแบบนี้บ่อยๆอีกหน่อยผมคงต้องอ้วนลงพุงแน่”
“แหม……คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะคะ
อรรักคุณต้น จึงอยากให้คุณต้นทานมากๆเท่านั้นเองไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
คำพูดของหญิงสาวฟังแล้วรู้สึกแสลงหูวนายิ่งนักน้ำเสียงออดอ้อนฉอเลาะน่าหมั่นไส้ ต้นก็ช่างกระไรเลยยอมให้หล่อนป้อนข้าวป้อนน้ำ ทำเหมือนกับเป็นคู่รักกัน อย่างงั้นแหละ
หรือว่าต้นจะมีใจชอบพอผู้หญิงคนนี้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา
เพราะผู้ชายอย่างเขาไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคนเจ้าชู้ไก่แจ้ จีบดะไม่เลือกหน้า อาจจะเป็นแม่สาวไฟแรงสูงคนนี้
หลงรักเขาข้างเดียวมากกว่า
ลักษณะมันบอกอยู่อย่างนั้น
แต่ถ้าขืนปล่อยให้ได้ใกล้ชิดกันมากๆแบบนี้มันไม่ดีแน่ เขาอาจจะทนเสน่ห์เย้ายวน ของหล่อนไม่ไหวเกิดเผลอตัวเผลอใจขึ้นมาก็เป็นได้
“กุ้งอบเกลือนี่ก็อร่อย ลองชิมดูซฺคะ”
อรอนงค์ทำท่าจะป้อนชายหนุ่มอีก สุดที่นางไม้สาวจะทนนิ่งดูเฉยอยู่ได้
หล่อนพยักหน้าขึ้นหนหนึ่งกุ้งก็หลุดจากปลายช้อนส้อม กระเด็นหวือไปกระทบปลายจมูกของชายหนุ่ม แล้วหล่นแผละลงไปอยู่บนโต๊ะ
“ตายจริง….ขอโทษค่ะ
อรนี่ซู่มซ่ามจังเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ กุ้งมันอาจจะยังไม่ตายสนิทดี”
“อรจะป้อนให้ใหม่นะคะ”
“อย่าเลยครับคุณอร ผมว่าผมทานเองจะเป็นการดีกว่า ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับ” คำพูดของต้นทำให้หญิงสาวชะงักส้อมที่กำลังจิ้มกุ้งตัวใหม่ ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ
“ขอโทษค่ะ อรอยากจะเอาใจคุณต้นเท่านั้นแหละ”
“เอาแต่ป้อนผม แล้วคุณไม่เห็นทานอะไรเลย”
“แค่ได้อยู่ใกล้ๆคุณต้นได้เห็นหน้าคุณต้นแบบนี้อรก็อิ่มแล้วแหละค่ะ”
“.[หน้าของผมไม่ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้หรอกครับทานเสียหน่อยดีกว่า สปาร์เก็ตตี้หอยลายของโปรดของคุณไม่ใช่เหรอครับ ?”
ชายหนุ่มเลื่อนจานสปาร์เก็ตตี้ไปตรงหน้าหล่อน
“ขอบคุณค่ะ”
อรอนงค์ไม่อยากจะขัดใจ
ใช้ส้อมจิ้มเส้นสปาร์เก็ตตี้ม้วนขดเป็นวงในช้อนจะยกขึ้นใส่ปาก ในจังหวะนั้นเอง วนาพยักหน้าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าของอรอนงค์ก็ทิ่มพรวดลงไปในจานสปาร์เก็ตตี้อย่างรวดเร็ว
“ว้าย...ตายแล้ว!”
หล่อนร้อนอุทานเสียงหลงอย่างตกอกใจ ใบหน้าเลอะเทอะ
เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำซ๊อสและเส้นสปาร์เก็ตตี้
พอเงยหน้าขึ้นมามันก็ไหลย้อย ลงไปบนเนินทรวงอกอวบ
“โอ๊ะ…..แย่จริง ผมจะช่วยเช็ดให้นะครับ” ต้นดึงกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะ ทำท่าจะช่วยเช็ดหน้าให้
“ไม่…..ไม่ต้องหรอกค่ะ”
อรอนงค์โบกไม้โบกมือห้าม รีบดึงกระดาษมาเช็ดหน้าเช็ดตาเสียเอง แล้วลุกขึ้นอย่างรู้สึกอับอายขายหน้าชายหนุ่มแต็มประดา
“อรนี่ซุ่มซ่ามจริงๆขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” คว้ากระเป๋าถือรีบจ้ำอ้าว ตรงไปห้องน้ำทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มนั่งงงงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
***********
อ้นกำลังป้อนข้าวต้มให้อาจารย์บุญ อาการของหมอผีหัวเหน่งรู้สึก
ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว ตามเนื้อตามตัวซึ่งหมอฉุยกำลังช่วยทายาให้อยู่
สีหน้าของอาจารย์เฒ่า เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่มีต่อศัตรู ผู้ทำให้ตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้
“ใครเป็นคนว่าจ้างเอ็ง ให้ไปจับอีนางตนนี้วะ หมอฉุย
?”
“เป็นผู้หญิงสาวมีฐานะดีคนหนึ่ง ดูเหมือนจะชื่อคุณแตนจ้ะ อาจารย์”
“อ้าว….แล้วมาเกี่ยวข้องอะไรกับอพาร์ตเม้นท์นั่นด้วยเล่า ?”
“เปล่าหรอกจ้ะอาจารย์ คุณแตนเธอเป็นแฟนกับเจ้าหนุ่มคนที่ชื่อต้นนั่นล่ะ”
“ไอ้หนุ่มคนที่เข้ามาขัดขวางพิธีกรรมของข้าอย่างงั้นน่ะเหรอ ?”
“ถูกแล้วอาจารย์
เธอกลัวแฟนของเธอจะได้รับอันตรายจากอีนางไม้ตนนี้ จึงว่าจ้างให้ฉันไปช่วยขับไล่มัน”
“แต่ลุงฉุยก็ทำไม่สำเร็จ เลยต้องวิ่งแจ้นมาหาอาจารย์ของฉัน พลอยทำให้อาจารย์ฉันได้รับบาดเจ็บไปด้วย” เจ้าอ้นมันว่าเหน็บแนมสอดขึ้นมา
“กูจะไปรู้เหรอว่ามันจะมีฤทธิ์เดชมากมายถึงขนาดนั้น เห็นค่าจ้างดีจ่ายไม่อั้นก็เลยรับทำ”
“อ้าว….งั้นก็แสดงว่างานนี้ลุงฉุยฟันมาแยะล่ะซี”
“ไม่หรอกไอ้อ้น แต่ถ้าอีนางไม้นั่นมันถูกกำจัดไปได้ เท่าไหร่คุณแตนเธอก็ยอมจ่าย”
จากคำบอกเล่าของหมอฉุย
ทำให้อาจารย์เฒ่าพอมองเห็นช่องทางที่จะจัดการกับนางไม้สาว รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าทันที
“ข้านึกออกแล้ว ว่าจะจัดการกับอีนางไม้ตนนี้ยังไง”
“อาจารย์คิดอะไรได้อย่างงั้นหรือ
?” หมอฉุยแสดงอาการกระตือรือร้นด้วยความอยากรู้
“แยกไอ้หนุ่มคนนั้นออกมาจากมันเสียก่อน”
“ธ่อ…วิธีเก่าอีกนั่นแหละ” หมอผีเฒ่าส่ายหน้า “ถ้าไอ้หนุ่มนั่นเป็นอะไรไปคุณแตนต้องไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้อย่างแน่นอน ดีไม่ดีเธอจะเอาเรื่องกับเรา เสียด้วยซ้ำไปนา”
“ฟังข้าพูดให้จบก่อนซีวะ” อาจารย์บุญชักฉุนที่ถูกขัดคอ “ข้าไม่ได้หมายความว่าทำลายมัน
เพียงแค่หาทางไม่ให้มันอยู่กับนางไม้ตนนั้น
ในขณะที่เรากำลังทำพิธีเรียกวิญญาณของมันเท่านั้น”
“อ๋อ….ฉันนึกออกแล้ว” เด็กหนุ่มหน้าผีทำเป็นฉลาดอวดรู้ “จะไปยากอะไรล่ะอาจารย์ ก็จับตัวไอ้หนุ่มคนนั้น
มาขังไว้เสียก่อนก็สิ้นเรื่อง”
“วิธีของมึงน่ะ
จะพลอยทำให้พวกเราต้องเข้าปิ้งกันหมดน่ะไม่ว่า ไอ้เซ่อ!” เจ้าอ้นถูกอาจารย์ของมันด่าให้
ถึงกับคอย่นตัวลีบไป
“ถ้าไม่ใช่วิธีอย่างที่เจ้าอ้นว่า แล้วอาจารย์จะยังไง ?” หมอฉุยถาม
“เอ็งไปเชิญคุณแตนให้มาพบข้าก่อน แล้วข้าจะบอกให้”
************
“อ้าว……”วันนี้ทำไมกลับมาเร็วนักล่ะคะคุณต้น ?
วนาแกล้งถาม
ทั้งๆที่กลับอพาร์ตเม้นท์ด้วยกัน
แต่หล่อนชิงมาปรากฎตัวดักรอชายหนุ่มอยู่ในห้องเสียก่อน
“ไปธุระกับลูกค้ามา เลยขี้เกียดเข้าที่ทำงานน่ะครับคุณวนา เป็นห่วงคุณด้วย”
“แหม….คูณต้นช่างน่ารักจัง ทานข้าวมาแล้วหรือยังล่ะคะ?”
“ทานแล้วครับ ลูกค้าพาไปเลี้ยง”
“ลูกค้าของคุณต้นนี่ใจดีจังนะ คงจะสวยน่ารักด้วยล่ะซีคะ?”
น้ำเสียงของนางไม้สาว
ฟังดูทะแม่งๆชอบกล ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
“เอ๊ะ…คุณวนารู้ได้ยังไงกันครับ ?”
“โอ๊ะ
เปล่า...เปล่าค่ะ
วนาแค่เดาๆ เอา ไม่มีอะไร” หล่อนรีบแก้ตัว
“คุณคงจะหึงผมล่ะซีท่า”
ต้นเห็นกิริยาของนางไม้สาวแปลกๆไป เขาเดินเข้ามาโอบไหล่ วนารีบก้มหน้าหลบสายตา กลัวเขาจะจับพิรุธได้ “เราเพียงแค่ติดต่อธุรกิจกัน ไม่มีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งไปกว่านั้นหรอกครับ”
“วนาไม่ได้ว่าอะไรนะคะ ถ้าคุณต้นจะไปมีความสัมพันธ์อะไรกับใคร ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่จริงมั้ยคะ ?”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ คุรวนามีความหมายสำหรับผมมาก คุณเป็นคนเดียวที่ผมรักจนหมดหัวใจ ไม่มีที่ว่างสำหรับใครอื่นอีกแล้ว”
“คุณต้นพูดผิดแล้วค่ะ วนาไม่ใช่คนนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มในท่าทางแง่งอนน่ารักพูดประชดของหล่อน
“ครับ…..ก็ได้
แม่นางไม้สาวแสนสวยของผม
อย่าโกรธเกลียดผมเลยนะครับ
ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเองว่าผมรักคุณจริงๆ เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันข้างนอกสักมื้อเป็นไง”
“ที่ไหนหรือคะ ?”
“ห้องอาหารเลิฟเวอร์เฮ้าส์ บรรยากาศดีมาก
คุณวนาต้องชอบแน่”
“จะดีเหรอคะ วนากลัวกุ้งอบมันดิ้นได้ ยังไม่ตายสนิทน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มถึงกับยืนเซ่อไปเลยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น