โดย...เจิด
จินตนา
ตอนที่
2...
เช้าวันต่อมา…
ต้นยืนเก้ๆ กังๆ
อยู่ที่หน้าประตูรั้วอพาร์ตเม้นท์ มือหนึ่งหิ้วกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลใบใหญ่ ส่วนอีกมือหนึ่งถือหนังสือพิมพ์
ที่เพิ่งซื้อติดมือมาเมื่อตอนเช้ามืด ตรงกำแพงรั้วข้างเสาหน้าประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้
มีแผ่นพลาสติกสีขาวตัวหนังสือสีน้ำเงินติดอยู่ อ่านได้ใจความว่า
โฉมศรีอพาร์ตเม้นท์…
ชายหนุ่มวางกระเป๋าเดินทางลง
แล้วคลี่หนังสือพิมพ์ออกมาพลิกดู ตรงหน้าแจ้งความสี่เหลี่ยมกรอบเล็กๆ
ซึ่งเขาเอาปากกาเมจิกสีแดงขีดวนเอาไว้ให้เห็นชัดสะดุดตา
โฉมศรีอพาร์ทเม้นท์
มีห้องว่างให้เช่า
บรรยากาศหรูอยู่สบาย ราคาถูก
ต้องใช่ที่นี่แน่…ต้นนึกในใจ มองผ่านเข้าไปข้างในเห็นตัวตึกขนาดใหญ่ทอดยาวขวางอยู่ตรงหน้าเป็นอาคารสามชั้น
สร้างชิดรั้วคอนกรีตสูงด้านใน ชั้นล่างสุดเป็นใต้ถุนโล่ง มีรถเก๋งยี่ห้อต่างๆ กัน
จอดเรียงรายอยู่สี่ห้าคัน
มุมสุดของตัวตึกชั้นล่าง
ตรงข้ามกับประตูรั้วที่เขากำลังยืนอยู่นี้ เป็นห้องเล็กๆ
กั้นด้วยกระจกตบแต่งน่ารัก ใช้เป็นสำนักงานติดต่อ ถัดไปเป็นบันได ทางขึ้นชั้นบน
ติดกับห้องของคนดูแลซึ่งอยู่ทางด้านในสุด
ด้านหน้าของอาคารเป็นสนามหญ้า
มีต้นสนสูงชะลูดปลูกเรียงรายเป็นแถวอยู่สี่ต้น
ใกล้กับรั้วคอนกรีตมุมหนึ่งถูกจัดเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก ปลูกพันธุ์ไม้ดอกสลับสีสวยงาม
มีโต๊ะม้าหินขัดสองชุด วางอยู่แถวสวนหย่อมนั้นสำหรับนั่งพักผ่อนรับลมเล่น
ขณะนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่อยู่ จึงว่างเปล่าไร้ผู้คน
ต้นสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า อพาร์ตเม้นท์ที่สวยงามร่มรื่นน่าอยู่นี้
จะมีราคาถูกสำหรับคนที่มีกำลังทรัพย์อย่างเขาพอเช่าอยู่ได้หรือไม่
แต่อุตส่าห์มาจนถึงที่นี่แล้ว…ลองเข้าไปสอบถามดูหน่อยคงจะไม่เป็นการเสียหายอะไร คิดแล้วจึงตัดสินใจ
คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาเดินดุ่มๆ เข้าไปตามถนนคอนกรีต
ในสำนักงานไม่มีใครอยู่เลย
ชายหนุ่มยืนลังเลใจที่หน้าประตูกระจก กำลังคิดว่าจะถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งรอที่โซฟายาวข้างในดีหรือไม่
พลันสายตาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์วิบากแผดเสียงดังลั่นกำลังเลี้ยวเข้าประตูรั้วมา
และแล่นปราดมาจอดตรงลานจอดรถใต้ถุนตึก ไม่ไกลจากจุดที่ต้นยืนอยู่เท่าไรนัก
เด็กหนุ่มคนนั้นรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์
ไว้ผมยาวดัดหยิกหยอยถึงหัวไหล่ ใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวพิมพ์ลายสีฉูดฉาด
มีเสื้อกั๊กยีนส์สวมทับอีกชั้น นุ่งกางเกงยีนส์ฟอกมีรอยขาดตรงหัวเข่าตามสไตล์วัยรุ่นนิยม
สวมรองเท้าผ้าใบและสะพายกีตาร์ไฟฟ้าอยู่กลางหลัง อายุคงจะอ่อนกว่าต้นเพียงเล็กน้อย
ดูปุ๊ปก็รู้ว่าเป็นนักดนตรี
ต้นเห็นเขาขยับมอเตอร์ไซค์จอดให้เข้าที่
ปลดกีตาร์มาถือ หันมองมาที่เขาพร้อมกับยิ้มอย่างมีอัชฌาสัยแล้วก้าวเดินเข้ามาหา
“หวัดดีพี่…มาหาใครแต่เช้าเลยหรือครับ?”
“เปล่าครับ..ผมจะมาหาห้องเช่าน่ะ เห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์น่าสนใจเลยแวะมาดู…”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนยิ้มนิดๆ
ชะโงกหน้าเข้าไปในสำนักงาน
“ตอนนี้ห้องยังเต็มอยู่
แต่ไม่แน่หรอกครับ…อีกสักครู่อาจจะมีว่างก็ได้”
“อ้าว! ทำไมหรือครับ?” ต้นขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดกำกวมของเด็กหนุ่ม
แทนที่จะตอบให้หายข้องใจ
เด็กหนุ่มหน้ากลมมนหุ่นสมบูรณ์กลับยักไหล่นิดหนึ่ง แล้วเดินไปเปิดประตูกระจก
“เข้าไปนั่งรอข้างในก่อนดีกว่าครับ
ถ้าผมเดาไม่ผิดเดี๋ยวพี่คงได้รู้เอง”
ต้นเดินตามเข้าไปในสำนักงาน
ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาวางกระเป๋าลงข้างๆ
“คุณคงจะพักอยู่ที่นี่?”
ต้นถาม
“ครับ…ผมชื่อปื๊ด พี่นั่งรอสักครู่เดี๋ยวเจ๊โฉมศรีแกคงจะลงมา”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ
ผมชื่อต้น” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองบ้าง
ยิ้มและส่งมือไปสัมผัสกับเด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์
มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังก้าวลงบันไดอพาร์ตเม้นท์มา
นำหน้าด้วยสาวใหญ่ในชุดกระโปรงสีม่วงสด รูปร่างผอมสูง ใบหน้ายาวจมูกงุ้มนิดๆ
ตาเจ้าเล่ห์ซอยผมสั้นแบบพิธีกรสาว ที่คู่กับวิทวัส สุนทรวิเนตร ในรายการ “สี่ทุ่มสแควร์”
ดูเหมือนว่ากำลังโต้เถียงอะไรกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่หิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง
เดินตามหลังมาติดๆ แอนกับบิลลี่นั่นเอง
มีลุงม้วนกับแม่แจ่มคนดูแลอพาร์ตเม้นท์ช่วยกันหอบสัมภาระเดินตามหลังมาอย่างสงบ
“มากันแล้ว…อีแบบนี้รับรองว่าห้องว่างแหง!” ปื๊ดหันมาบอก
“ทำไมคุณถึงรู้ล่วงหน้าล่ะครับว่าห้องจะว่าง?”
“ไม่เคยมีใครอยู่ห้องนี้ได้นานเลยสักราย…พี่กลัวผีหรือเปล่า?”
“ผมไม่เชื่อหรอกครับ…ว่าผีสางจะมีในโลกนี้…” ต้นหัวเราะหึๆ
“แสดงว่าพี่ต้นเป็นคนไม่กลัวผี
แต่ผมไม่อยากให้พี่เช่าห้องนี้อยู่ดี กลัวจะเสียเงินเปล่า”
คำพูดของปื๊ด
ฟังดูเหมือนมีเลศนัยชอบกลแอบแฝงอยู่ ต้นขยับจะถามถึงสาเหตุด้วยความข้องใจ
แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม คนกลุ่มนั้นก็เดินเข้ามาในสำนักงาน หญิงผอมสูงเดินไปที่โต๊ะทำงาน
ดึงลิ้นชักหยิบแบงค์ห้าร้อยออกมาสามใบ ยื่นส่งให้กับหนุ่มบิลลี่
เขารับมาดูด้วยหน้ามึนงง
“ทำไมคืนให้แค่พันห้าล่ะครับคุณโฉมศรี
ผมจ่ายคุณไปล่วงหน้าสองเดือน สามพันบาทนะครับ….”
“ค่าเช่าเดือนแรกฉันไม่คืนให้
ไม่หักค่าน้ำค่าไฟด้วยก็นับว่าบุญแล้วนะคุณ…”
“แต่เราเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ได้แค่วันเดียวเอง…”
แอนซึ่งยืนฟังอยู่อดรนทนไม่ได้พูดแย้งขึ้นมา
“นั่นมันเป็นเรื่องของคุณ
จะอยู่สักกี่วันก็แล้วแต่ ฉันคิดค่าเช่าเป็นหนึ่งเดือนอยู่ดี ในสัญญาระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วนี่…”
โฉมศรีดึงสัญญาเช่าจากแฟ้มบนโต๊ะออกมาวางตรงหน้าหนุ่มสาวทั้งคู่ดู
“แบบนี้มันโกงกันซึ่งๆ
หน้าชัดเลย…”
หนุ่มบิลลี่บ่นพึมพำอย่างเหลืออดยังผลให้โฉมศรีเต้นผางเป็นเจ้าเข้า
“พูดให้ดีนะ…ฉันโกงคุณยังไง คุณมีสิทธิ์จะอยู่ให้ครบเดือน แต่ไม่อยู่เอง...ช่วยไม่ได้”
“ใครจะทนอยู่ไหว…”
แอนเสียงอ่อน “โดนกวนทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ห้องนั้นมีผีสิงอยู่น่าจะบอกกันก่อน
“ไปกันเหอะแอน…คิดว่าเป็นคราวซวยของเรา…อพาร์ตเม้นท์อะไรไม่รู้
ผีดุเป็นบ้า ขืนอยู่มีหวังประสาทแดกตาย!”
หนุ่มบิลลี่โอบเอวคนรัก
ประคองพาเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจ โฉมศรียืนเท้าสะเอวมองตามหลัง
ยิ้มน้อย ๆ อย่างผู้มีชัย
“ลุงม้วน…แม่แจ่ม…ช่วยขนของไปส่งเขาที่รถที…ไป๊!”
หล่อนหันมาสั่งคนงานดูแลอพาร์ตเม้นท์
ชายหญิงสูงอายุทั้งคู่รับคำ แล้วช่วยกันหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระ
เดินตามบิลลี่กับแอนออกไป
ตลอดเวลา
ต้นนั่งฟังการโต้เถียงของทั้งสองอยู่อย่างสงบ เขาลอบสังเกตอัปกิริยาของคุณนายโฉมศรีเจ้าของอพาร์ตเม้นท์แห่งนี้
แล้วนึกอยู่ในใจว่าท่าทางหล่อนเจ้าเล่ห์เค็มจัดน่าดู…อายุอยู่ในเกณฑ์ไม่เกินสี่สิบพอกหน้าทาปากสีเข้ม เพื่อปกปิดร่องรอยให้ดูอ่อนกว่าวัยอันแท้จริง
แต่รอยตีนกาที่หางตายังไม่วายปรากฏออกมาให้เห็นเด่นชัด
“เจ๊โฉม…พี่คนนี้เขามาหาห้องเช่าแน่ะ!”
ปื๊ดเดินเข้าไปบอก
พร้อมกับชี้โบ้ยมาทางต้น โฉมศรีมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน พูดอย่างไม่ค่อยสนใจใยดีนัก
“ค่าเช่าเดือนละพันห้า
ล่วงหน้าสองเดือน…”
“แต่ว่าเจ๊…ห้องนั้นมัน…!”
“อย่าเสือก!” ปื๊ดยังไม่ทันพูดจบประโยค โฉมศรีรีบทำตาเขียวแหวเข้าใส่ “เดี๋ยวแกก็ไม่มีที่จะซุกหัวนอนหรอก…ตาปื๊ด”
เด็กหนุ่มหุบปากตัวเองโดยอัตโนมัติ
ยืนนิ่งไม่กล้าพูดแย้งอีกต่อไป โฉมศรีจึงหันมาทางต้น
“เอาอย่างนี้แล้วกัน
สำหรับคุณฉันลดให้เป็นพิเศษ ค่าเช่าเดือนละพัน จ่ายล่วงหน้าสองเดือน
แต่ถ้าคุณอยู่ไม่ครบเดือน คุณจะไม่มีสิทธิ์ทวงเงินคืนใดๆ ทั้งสิ้น…ตกลงไหม?”
“ตกลงครับ!”
ต้นรับปากทันที
เขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าไม่มีสิ่งใดจะสามารถยับยั้งเขาไม่ให้เขาอยู่จนครบเดือนได้เพราะเขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
ว่าในห้องนั้นจะมีผีสิงอยู่ คนอย่างเขาไม่เคยมีความเชื่อในเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้เลย
“ถ้ายังงั้นขอบัตรประชาชนด้วย”
โฉมศรีบอก
ชายหนุ่มลุกไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
ควักกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบบัตรประชาชนพร้อมกับเงินสดสองพันบาทยื่นส่งให้โฉมศรี หล่อนดึงสัญญาเช่าจากแฟ้มมากรอกข้อความลงไป
ปื๊ดยืนมองด้วยความรู้สึกคันปากยิบๆ
แต่เพราะยังค้างค่าเช่าอยู่ถึงสองเดือน จึงไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมา ได้แต่นึกอยู่ในใจว่า
ไอ้หนุ่มคนนี้ท่าจะบ๊องส์หน้าตาดีๆ ไม่น่าจะมาโดนหลอกอะไรง่ายๆ ทั้งๆ
ที่รู้ว่าห้องที่จะมาเช่านี้มีผีสิง ขนาดคนมาเช่าก่อนเพิ่งจะเปิดหนีอยู่ไปแหม็บๆ
ยังอุตส่าห์ยอมเสียเงินอีก ยัยโฉมศรีเจ้าเล่ห์คงได้ฟาดเงินกินเปล่าจากต้นฟรีๆ
อีกคนหนึ่งแน่
“จะย้ายเข้ามาอยู่เมื่อไหร่?”
โฉมศรีถามพร้อมกับยื่นสัญญาให้ต้นเซ็นชื่อกรอกข้อความเสร็จแล้ว
ต้นมองดูกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเอง ซึ่งมีอยู่เพียงใบเดียวบนพื้น
“เดี๋ยวนี้เลยครับ….”
สาวใหญ่พยักหน้าหงึก
มองออกไปที่ลานจอดรถ เห็นลุงม้วนกับแม่แจ่มยังช่วยกันขนข้าวของขึ้นรถให้บิลลี่กับแอนที่เพิ่งจะย้ายออกไป
“ฉันจะพาไปที่ห้องเอง”
หล่อนเก็บสัญญาเช่าใส่แฟ้ม…ตรวจนับเงินของต้นว่าถูกต้องแล้ว จึงเก็บใส่ลิ้นชักล็อคกุญแจ
ลุกขึ้นหยิบกุญแจห้อง ที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้ แล้วพยักหน้าให้กับต้น
“ตามฉันมา…”
ชายหนุ่มลุกไปหิ้วกระเป๋าของตนเองขึ้นมา
โฉมศรีเปิดประตูให้เขา ปื๊ดคว้ากีตาร์ขึ้นมาถือแล้วเดินตามหลังต้นจะออกประตูไป
แต่ถูกโฉมศรียกมือขึ้นกันเอาไว้
“แกจะไปไหนรีบไปตาปื๊ด…มาเดินตามต้อยๆ อยู่ทำไม?”
“อ้าว! ห้องของผมอยู่ติดๆ กัน ผมจะไปที่ห้องของผมน่ะซิ..ถามได้ธ่อ!
เจ๊โฉมก้อ…”
ขณะเดินตามหลังโฉมศรีขึ้นบันไดอพาร์ตเม้นท์ไป
ต้นนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหาที่อยู่ใหม่แต่เช้ามืดอย่างฉุกระหุกเช่นนี้
เดิมทีเขาเช่าห้องพักอยู่ที่แฟลตแห่งหนึ่งแถวย่านพงเพชร
ใกล้คลองประปา เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กับที่ทำงานของเขา
แต่ที่นั่นพลุกพล่านไปด้วยผู้หญิงประเภททำงานกลางคืน
มักส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเอะอะกันกลางดึกบางครั้งก็มีการะเลาะเบาะแว้ง ตบตีกันเป็นการแถมพก
ทำให้เขาต้องสะดุ้งตกใจตื่นอยู่บ่อยๆ
ก่อนหน้านี้เพียงสามวัน
มีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งย้ายเข้ามาอยู่ห้องติดกับเขา พอตกเย็นก็ตั้งวงกินเหล้า
เฮฮาอย่างไม่มีความเกรงใจผู้อื่น ยิ่งเมายิ่งพากันส่งเสียงดัง
แหกปากร้องเพลงเคาะจานชามเสียงดังลั่นไปหมดจนดึกจนดื่น เป็นแบบนี้ติดต่อกันทุกคืน
ทำให้ต้นไม่เป็นอันได้หลับได้นอน ต้องตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายหนีก่อนที่โรคประสาทจะถามหา
โฉมศรีอพาร์ตเม้นท์
แม้จะอยู่ห่างไกลจากที่ทำงานของเขาไปนิด
แต่สามารถเดินทางไปทำงานโดยอาศัยรถเมล์เพียงทอดเดียวและที่สำคัญที่นี่แวดล้อมไปด้วยสวนผลไม้อันร่มรื่นของจังหวัดนนท์
ยิ่งมาเจอค่าเช่าที่ถูกแสนถูกจนแทบไม่น่าเชื่ออย่างนี้
มีหรือที่เขาจะไม่รีบตะครุบเอาไว้
ห้องพักของต้นอยู่สุดทางเดินด้านขวามือชั้นที่สามนั่นคือห้องหมายเลข
316 ส่วนห้องพักของปื๊ดอยู่ติดกันแต่ถึงก่อน
“ห้องผมอยู่ที่นี่นะครับพี่ต้น
มีอะไรเรียกได้เลยนะครับ….”
ปื๊ดบอกก่อนที่จะไขกุญแจเปิดประตูผลุบหายเข้าไปในห้องของตนเอง
โฉมศรีไขกุญแจห้อง 316 เดินนำต้นเข้าไป
เป็นห้องขนาดกะทัดรัดน่าอยู่ ส่วนหน้าถูกจัดเป็นห้องนั่งเล่น มีเก้าอี้โซฟาเก่าๆ
สองตัว พร้อมโต๊ะกลางตัวเล็ก ๆ ตั้งอยู่ถัดไปเป็นห้องนอน
มีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งกั้นแบ่งเขต
ด้านหลังเป็นห้องน้ำ
และห้องครัวขนาดจิ๋ว มีโต๊ะกินข้าวและเครื่องทำครัวแบบอาคารสมัยใหม่เข้าชุดกัน
จากห้องครัวเปิดประตูออกไป จะเป็นระเบียงรับลมเล็กๆ ต้นเดินดูไปรอบ ๆ แล้วหยักหน้า
ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกพึงพอใจ
“น่าอยู่ดีนี่ครับ…”
“ถ้าอย่างงั้นตามสบายเลยนะคะ
โทรศัพท์อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน ต้องการอะไรโทร.เรียกไปได้…ขอให้มีความสุขนะคะ…”
หล่อนส่งกุญแจห้องให้
พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ต้นปิดประตูงับไว้
แล้วเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอน
สิ่งที่สะดุดตาของเขาคือ
เตียงไม้สักขนาดใหญ่หัวเตียงแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรพิสดาร
ฝีมือแกะสลักประณีตบรรจงมาก ลวดลายต่าง ๆ ดูอ่อนช้อยมีชีวิตชีวา
ขาเตียงแกะสลักลวดลายรูปขาสิงห์ ท่าทางดูแข็งแรง
เตียงนอนห้องนี้
น่าจะไปตั้งอยู่ในบ้านทรงไทยโบราณมากกว่า ดูมันไม่เข้ากับเครื่องตบแต่งอื่น ๆ
ภายในห้องนี้เลย แต่ดูสวยสง่าน่ารักแบบแปลก ๆ
ที่นอนเป็นฟองน้ำหนา
ปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าเย็นตา ต้นเดินเข้าไปเอามือกดดู
แล้วรู้สึกง่วงนอนติดหมัดขึ้นมา
หลายคืนมาแล้ว
ที่เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างเต็มตา อยากจะของีบให้เต็มอิ่มสักพัก
แต่ฉุนคิดขึ้นได้ว่า นี่ไม่ใช่เวลานอน พลิกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูสายมากแล้ว
ถ้าขืนชักช้าโอเอ้อยู่ จะไปทำงานไม่ทัน
ชายหนุ่มวางกระเป๋าใบใหญ่ลงบนเตียง
เปิดหยิบเน็คไทออกมา เดินไปผูกที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ติดกระดูกเสื้อเชิ้ตแขนยาวให้เรียบร้อย ส่องกระจกสำรวจดูอีกครั้ง
ก่อนจะเดินออกไปล็อคห้องใส่กุญแจ
พอลับหลังต้นเท่านั้นเอง
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางไว้บนเตียง ก็จะกระเด็นไปอยู่บนพื้น
ข้าวของเสื้อผ้าเรี่ยราดกระจัดกระจาย เหมือนถูกจับเหวี่ยงลงมา
***************
อาคารสำนักงานบริษัทประกันภัย
ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนนวิภาวดีใกล้กับสะพานลอยลาดพร้าว
ภายในเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ
แต่ต้นกลับรู้สึกร้อนจนเหงื่อชุ่มโชกไปทั้งตัวเพราะเขาต้องเบียดเสียดยัดเยียดมาในรถเมล์
ที่อัดแน่นเหมือนปลากระป๋องรีบตอกบัตรลงเวลา ขึ้นลิฟท์ไปที่แผนกของตนทันที
ยังไม่ทันได้หย่อนก้นลงนั่งพักเหนื่อย
เลขาฯ คนสวยหน้าห้องผู้จัดการรีบเดินปราดเข้ามาที่โต๊ะของเขา
“ทำไมมาสายนักล่ะพี่ต้น…ผู้จัดการเรียกหาตั้งแต่เช้าแล้ว….”
“ขลุกขลักนิดหน่อย
เรื่องย้ายที่อยู่น่ะคุณนุช…ผู้จัดการมีเรื่องด่วนอะไรเหรอ?”
“ไม่รู้ซิ…เห็นอารมณ์บูดแต่เข้าเลย พี่ต้นต้องระวังตัวให้ดีด้วยนะ
อีตามานพยิ่งคอยจะจ้องจับผิดพี่ต้นอยู่ด้วย”
บอกเพียงเท่านี้…นุชก็กลับไปนั่งทำงานตามเดิมปล่อยให้ต้นยืนงงเขามองไปที่ห้องผู้จัดการ
ซึ่งอยู่ด้านในสุดของตัวอาคาร ขมวดคิ้วนิ่วหน้า พยายามนึกทบทวนดูว่า
บกพร่องหน้าที่อะไรหรือเปล่า ถึงต้องโดนเรียกตัวแต่เช้า…
ดูเหมือนว่านายมานพผู้จัดการของเขา
จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่นัก ซึ่งเขาเองยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
ตัดสินใจก้าวเดินผ่านโต๊ะทำงานที่พนักงานอื่นๆ
กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนอยู่ตรงไปที่หน้าห้องผู้จัดการ
นุชเงยหน้าขึ้นมามองนิดหนึ่ง ยิ้มให้อย่างปลอบใจ ชายหนุ่มสงบสติอารมณ์แล้วยกมือขึ้นเคาะประตู
“เชิญ!”
เสียงทุ้มห้าวดังกังวานออกมาจากภายใน
ต้นกลั้นใจเปิดประตูพาตัวเองก้าวเข้าไป
“ผู้จัดการต้องการพบผมหรือครับ?”
“นั่งก่อน…”
มานพบอกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
สายตาจดจ่ออยู่ที่แฟ้มตรงหน้าซึ่งกำลังพลิกดูอยู่ไปมา
ต้นนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างสงบเสงี่ยม
ลอบสังเกตอากัปกิริยาของผู้ที่เป็นเจ้านาย
หนุ่มใหญ่วัยเกือบห้าสิบที่นั่งตรงหน้า
แต่งกายด้วยอาภรณ์ภูมิฐานสมตำแหน่งฐานะ ศีรษะเถิกผมหยิกดัดสั้นเรียบร้อย
มีผมหงอกขาวแซมประปรายตามวัย ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมคางใหญ่จมูกบาน
ตาทั้งคู่ค่อนข้างโปนเล็กน้อย ริมฝีปากหนาคอสั้น ผิวออกสีคล้ำรูปร่างท้วมใหญ่
นี่คือลักษณะของนายมานพตามสายตาที่เห็น
“ในระยะหลัง ๆ
นี้งานที่ผมมอบหมายให้ทำ ไม่ค่อยได้เข้าตามเป้าเลยนะ…” มานพพูดเปรยขึ้นมาสายตายังคงจ้องจับอยู่ที่แฟ้มในมือ
“เอ้อ ! เพราะบริษัทคู่แข่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าบริษัทของเรา ลูกค้าทีจะประกันภัยกับเราก็เลยหันไปให้ความสนใจมากกว่าครับ….ผู้จัดการ”
“ข้ออ้างนี้ไม่ขึ้นหรอกนะ
เป็นเพราะคุณไร้ความสามารถมากกว่า” มานพโยนแฟ้มในมือใส่หน้าต้นด้วยอาการฉุนเฉียว
“ผมอ่านแฟ้มประวัติของคุณแล้ว
ตั้งแต่คุณเข้ามาทำงานที่นี่ผลงานไม่ค่อยมีปรากฏ มาทำงานสายบ่อยครั้ง
แล้วแบบจะให้ผมพิจารณาเลื่อนตำแหน่งคุณได้ยังไงกัน?”
ต้นงงเป็นไก่ตาแตก….
“ผมทราบดีครับ….ว่าผมเพิ่งจะเข้ามาทำงานที่นี่ยังไม่ถึงครึ่งปี ผลงานเลยยังไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่นัก
แต่ผมยังไม่เคยเรียกร้องขอเลื่อนตำแหน่งให้กับตัวเองนี่ครับผู้จัดการ…!”
บอกไปตามความรู้สึกอันแท้จริงของเขา
แต่มานพกลับจ้องหน้าอย่างไม่พอใจ
“คุณอย่ามาแกล้งทำเป็นไขสือหน่อยดีกว่าคุณต้น….ถ้าตัวคุณเองไม่ได้เป็นคนเสมอ แล้วท่านประทานจะแจ้งเรื่องนี้ลงมา
พร้อมกับมีคำสั่งให้ผมช่วยพิจารณาเลื่อนตำแหน่งของคุณได้ยังไง?”
ต้นยิ่งงงหนักขึ้น
ท่านประธานกรรมการบริษัทมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วย
เขาเองยังไม่เคยรู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่
ยังไม่เคยเข้าพบท่านเลยแม้สักครั้งเลยด้วยซ้ำไป
ทำไมถึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้….
ชายหนุ่มนั่งก้มหน้านิ่ง
ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้จัดการ
เพราะรู้ดีว่านั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความไม่พอใจให้อีกฝ่ายหนึ่ง
สู้นิ่งเฉยไว้เสียจะเป็นการดีกว่า…
“ที่ผมเรียกคุณมา…เพื่อจะบอกให้รู้ไว้ว่า จะยังไม่มีการพิจารณาใดๆทั้งสิ้นจนกว่าคุณจะมีผลงานที่เป็นที่น่าพอใจ…เท่านั้นแหละ….”
มานพพูดตัดบท
ต้นรีบลุกขึ้นโค้งคำนับให้เป็นหัวหน้าแผนก แล้วเดินออกจากห้องไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น