โดย...เจิด
จินตนา
๕
. . .
![]() |
ต้นกับวนา |
ต้นฉุกกึ่กขึ้นมาทันทีทุบประตูเสียงดังสนั่น
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ…มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนซิคุณ
! !”
เงียบกริบ
ไม่มีเสียงตอบหรือเสียงเคลื่อนไหวใดๆดังออกมาจากในห้อง ต้นชักมีโมโหหนัก
ทั้งทุบทั้งเตะถีบประตูเสียงดังโคมคราม
“บอกให้เปิด…เปิดซี่…โธ่เว้ย!”
มีเสียงเปิดประตู
แต่ว่าไม่ใช่ห้องของต้นเป็นประตูห้องในบริเวณใกล้เคียง
ต่างเปิดโผล่หน้าออกมาดูกันสลอน หลายคนทำตาเขียวใส่ต้น
“รู้จักเกรงอกเกรงใจกันบ้างซิ่คู้น…นี่ดึกแล้วนะ
เอะอะโวยวายอยู่ได้…”
“ขอโทษครับ…ขอโทษ…”
ชายหนุ่มหน้าจ๋อย
ที่โมโหจนลืมตัว เผลอทำเสียงดังรบกวนเพื่อนห้องข้างเคียง
เขาหัวเราะแฮ่ะๆแล้วรีบยกมือไหว้ ขอโทษของโพยเป็นการใหญ่
คนเหล่านั้นพากันจ้องมองดูเขา
เหมือนเห็นเขาเป็นตัวประหลาด บางคนทำปากขมุบขมิบ นึกแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ
จากนั้นจึงค่อยๆทยอยกันปิดประตูกลับไปนอนต่อ ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนกลืนน้ำลายเอื้อกอย่างรู้สึกฝืดคอ
หน้าแหกยับแทบเย็บไม่ติด
ถ้าขืนใช้วิธีเรียกแบบนี้อีก
คราวนี้มีหวังต้องโดนด่าพ่อล่อแม่แน่ ต้นพยายามลดเสียงลงให้เบาที่สุด
“คุณวนา…คุณวนาครับ ช่วยเปิดประตูให้ผมทีเถอะ มีอะไรไว้ค่อยๆพูดค่อยๆ จา
ตกลงกันได้นี่นา”
นิ่งรอสักครู่แล้วเงี่ยหูฟัง
ไม่มีทีท่าว่าผู้ที่อยู่ภายในห้องจะให้ความสนใจ
“ได้โปรดเถอะครับคุณวนา
อย่าทำแบบนี้กับผมซี่ จู่ๆคุณก็มาตู่เอาว่าห้องนี้เป็นของคุณ ทั้ง ๆ
ที่ผมเองเป็นคนจ่ายค่าเช่า มันไม่ถูกต้องนาครับ เปิดประตูออกมาพูดกันดีกว่า
คุณจะเอายังไงขอให้บอกมาเถอะครับ”
อุตส่าห์พูดดีด้วยแล้ว
คู่กรณียังไม่มีท่าทีว่าจะยอมสนใจ เล่นเอาต้นต้องจนปัญญา
คิดไม่ออกว่าจะจัดการยังไงดี ได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้อง
หนักๆเข้าชักรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา ตาทั้งคู่ทำท่าจะหรี่ลงๆทุกที
“ผมง่วงนอนเต็มที่แล้วนะครับ
ช่วยเปิดประตูทีเถอะน่าคุณวนา !”
ต้นยกมือปิดปากหาว
แล้วยืนหันหลังกอดอกพิงประตู
ความง่วงจัดทำให้ร่างของเขาค่อยๆไหลครูดลงกลายเป็นนั่งพิงประตูหลับอยู่ตรงนั้นเอง
นอนฟังอยู่สักครู่ใหญ่ๆ
ต่อมาวนาชักรู้สึกเอะใจที่เสียงของต้นเงียบหายไป
หรือว่าเจ้าหนุ่มจอมดื้อคนนี้จะยอมยกธง
รามือจากไปเสียแล้วแต่โดยดี
มันก็ดีเหมือนกันนะ
หล่อนจะได้ไม่ต้องอาละวาดแผลงฤทธิ์เอาเหมือนเช่นที่ทำกับผู้เช่าห้องรายก่อนๆ
นางไม้สาวยิ้มให้กับตัวเองในความมืด
นอนพลิกตัวในท่าที่รู้สึกสบาย อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้คงไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวกับเตียงของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
แต่ทว่า…วนากลับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบผุดลุกขึ้นมานั่งขมวดคิ้ว
ไม่น่าเป็นไปได้นี่นาที่ชายหนุ่มคนนี้จะยอมเลิกราไปแบบง่าย
ๆ ท่าทีในตอนแรกของเขาที่หล่อนเห็นเขาดูเป็นคนขึงขังเอาจริงเอาจัง
ไม่ยอมอ่อนข้อเลยสักนิด มีหรือที่เขาจะยอมไปง่าย ๆ แบบนี้
เพื่อความแน่ใจ วนาค่อย
ๆลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปถอดกลอนประตู
พอประตูห้องถูกเปิดออกมา
ร่างของต้นที่นั่งพิงหลับอยู่ก็เอนราบลงนอนเหยียดยาว ขวางคาประตูอยู่ตรงนั้นเอง
อย่างไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลย วนาสะดุ้ง
“อุ้ย”
เผลออุทานออกมา
ขยับก้าวถอยหลังเพราะความตกใจ
ไม่เคยพบเคยเห็น
คนอะไรขี้เซาขนาดหนักแบบนี้ลักษณะเหมือนคนที่อดหลับอดนอนมานาน
เขาคงไม่ได้แกล้งหลับ ขอบตาทั้งคู่ที่ปิดสนิทอยู่มีแววอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
ดูๆไปก็น่าสงสารเหมือนกัน
เขาอาจจะไม่มีที่ไปถึงต้องมานั่งพิงประคูหลับอยู่แบบนี้
วนาเริ่มรู้สึกหนักใจคิดไม่ออกว่าจะเอายังไงกับชายหนุ่มคนนี้ดี
ถ้าปล่อยให้นอนหลับอยู่แบบนี้หล่อนก็ไม่สามารถที่จะปิดประตูได้
และหากจะใช้ฤทธิ์นางไม้ที่หล่อนมีอยู่เคลื่อนย้ายร่างของเขาให้ไปนอนที่อื่น
ชายหนุ่มคนนี้คงต้องนอนตากยุงทั้งคืนแน่
“นี่…นี่…ตื่นซิ…ลุกขึ้น”
วนาตัดสินใจก้มลงปลุก
เพื่อจะบอกให้เขาไปหาที่นอนใหม่ ต้นงัวเงียลืมตาขึ้นมา
“มีอะไรไว้ค่อยพูดกันพรุ่งนี้แล้วกัน….ผมง่วงนอนเต็มที่แล้ว”
เขาทำหน้ามุ่ย ค่อย ๆ
ลุกขึ้นเดินโผเผไปล้มตัวลงนอนฟุบบนเตียง กอดหมอนหลับต่อ ทำเอาวนายืนตะลึงตาค้างเพราะนึกไม่ถึง
ต้องรีบวิ่งตามเข้าไปร้องห้าม
“เฮ้ ! เจ้าจะมานอนที่เตียงนี้ไม่ได้นะ…ได้ยินมั้ย?”
ชายหนุ่มยังคงนอนหลับตาเฉย
วนาชักฉุน ใช้สองมือดันล่างของเขาให้กลิ้งลงไปอยู่ข้างเตียง
แล้วก้าวขึ้นไปนอนบนเตียง นั่งกอดอกจ้องมองดูเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อะไรกันอีกเล่า?”
ต้นผงกศรีษะขึ้นมา ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
“จะนอนในห้องนี้ก็ได้
แต่ไม่ใช่บนเตียงนี้ แล้วพรุ้งนี้เจ้าจะต้องรีบขนของออกไปจากห้องนี้ทันที…เข้าใจมั้ย?”
“ก็ได้ๆ ตกลง…” ต้นรับปากตัดความรำคาญ “หวงเตียงชะมัด พับผ่า!”
บ่นพึมพำอะไรออกมาสองสามคำ
แล้วล้มตัวลงนอนคุดคู้หลับต่อ
วนาส่ายหน้าอย่างรู้สึกอิดหนาระอาใจ
คนอาไร้…ช่างหลับง่ายดายเสียจริง
มันน่าปล่อยให้นอนตากยุงอยู่ข้างนอกเสียให้เข็ด
แต่เขาคงจะไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวทรามต่ำช้าอะไรหรอกนะ
ใบหน้าของเขาดูซื่อ ๆ
ไม่น่าจะเป็นคนมีพิษมีภัยอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว ปล่อยให้เขานอนหลับต่อไปรอไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่น่าจะเป็นการดีกว่า
วนาจ้องไปที่ประตู
ใช้อิทธิฤทธ์ของนางไม้บังคับให้ประตูปิดกลับเข้ามาตามเดิม แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
ร่างค่อย ๆ จางหายวับไป
**********
ต้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อแสงอาทิตย์ในยามเช้าสอดลอดผ่านบานหน้าต่างกระจกเข้ามาแยงตาจนรู้สึกรำคาญ
เขาลุกขึ้นมานั่งอย่างงงๆ นึกไม่ออกว่าทำไมตัวเองถึงมานอนอยู่บนพื้น
ลองนั่งทบทวนดู
จำได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดมีปากเสียงกับหญิงสาวคนหนึ่ง
ซึ่งมาตู่เอาอย่างหน้าด้านๆอ้างว่าเป็นเจ้าของห้อง
จริงซิ…ผู้หญิงจอมกวนคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ หล่อนกลับไปแล้วหรือ
ลุกขึ้นเดินดูที่ประตูเพื่อให้แน่ใจ
กลอนประตูยังใส่อยู่อย่างเรียบร้อย เดินสำรวจดูรอบ ๆ ห้อง ในห้องน้ำก็ไม่เห็นมี
ประตูหน้าต่างด้านระเบียงยังใส่กลอนปิดสนิทอยู่
แล้วหล่อนออกไปจากห้องนี้ได้ยังไงกัน?”
หรือว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน
แล้วเขาเกิดนอนละเมอตกเตียงมาเอง
แต่กลิ่นอ่อน ๆ
คล้ายกลิ่นดอกไม้ป่าหอมกรุ่นยังคงติดอยู่ตามเสื้อชุดนอนของเขา
ทำไมเขาจึงได้มีความรู้สึกเหมือนกับว่าได้แตะต้องเรือนร่างนุ่มนวลหอมกรุ่นของหญิงสาวคนนั้นกับมือจริง
ๆ
จำได้ว่าเขาเป็นคนอุ้มหล่อนโยนออกจากห้องและยังคงจำใบหน้าอันงดงามสวยซึ้งของหญิงสาวคนนั้นได้อย่างติดตา
ยิ่งคิดก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
ต้นสะบัดหน้าสองสามทีขับไล่ความงงลุกขึ้นคว้านาฬิกาข้อมือ
ซึ่งถอดวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาดู
เกือบสองโมงเช้าเข้าไปแล้ว ตายล่ะ…เขาคงจะมัวหลับเพลิน
รีบดึงผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะไปทำงาน
พอเปิดประตูห้องออกมา
ชายหนุ่มต้องรู้สึกแปลกใจที่คุณโฉมศรีอพาร์ตเม้นท์
ลุงม้วนกับแม่แจ่มต่างพากันมายืนมองดูเขาอยู่ด้วยสายตาแปลกๆ
“มีอะไรหรือครับ?”
ต้นถามนึกสงสัยในท่าทางของคนเหล่านี้
“เอ้อ!เปล่า…ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณ…” โฉมศรียิ้มหน้าเจื่อน “เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือคะคุณต้น?”
“ก้อ…สบายดีนี่ครับ”
“ไม่มีอะไรมากวนคุณเลยหรือครับ?”
ลุงม้วนถามซื่อๆ
อย่างไม่แน่ใจ เพระคนที่มาเช่าห้องนี้มักจะต้องโดนผีหลอกจนเผ่นหนีแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีท่าทีผิดปกติอะไรเลย
“แล้วลุงคิดว่า..จะมีอะไรรบกวนผมล่ะ…..ผีเหรอ?” ต้นย้อนถามพร้อมเอานิ้วชี้จิ้มลงไปที่หน้าอกของชายสูงอายุ “ใช่…ผี…ผีของลุงเป็นผู้หญิง สวยเสียด้วยซิครับ…แต่ไม่ทีทางทำให้ผมตกใจกลัวอย่างเด็ดขาด
ผมไม่เหมือนผู้เช่าห้องรายก่อน ๆ หรอกนะครับ
วิธีนี้นำมาใช้กับผมไม่ได้หรอกจะบอกให้รู้ไว้”
ล็อคประตูห้องเลิกสนใจคนเหล่านี้
แล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่าง…ปล่อยให้ทั้งสามคนยืนมองหน้ากันทำตาปริบๆ
**********
เมื่อถึงที่ทำงาน
ต้นถูกนายมานพเรียกตัวเข้าไปพบในห้องผู้จัดการ
“มาสายอีกตามเคยนะคุณต้น”
ทันทีที่เห็นหน้า
ผู้จัดการเขาก็ต่อว่า ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวว่ายังไง
มานพยื่นมือไปกดปุ่มเครื่องโทรศัพท์สำหรับติดต่อภายใน
“คุณนุชช่วยเอาแฟ้มประวัติลูกค้าของคุณกำชัยเข้ามาให้ผมที”
“ค่ะ…ผู้จัดการ”
เสียงเลขาคนสวยดังตอบมา
มานพจึงวางมือจากโทรศัพท์ติดต่อ หันมองต้น
“ผมได้ปรึกษากับท่านประธานแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องพิจารณาเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณ ท่านประธานมีความเห็นว่า
ให้คุณลองทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการพิสูจน์ผลงานก่อน…”
“ด้วยความยินดีครับผู้จัดการ
สั่งมาได้เลยครับ…ผมจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ” ต้นยืดอกอย่างมั่นใจ
นุชถือแฟ้มเปิดประตูเดินเข้ามายื่นส่งให้กับมานพเขารับไปพลิกดูนิดหนึ่ง
แล้วส่งต่อให้ต้น
“นี่คือแฟ้มของคุณกำชัย
ลูกค้ารายใหญ่ที่เคยทำประกันเอาไว้กับเรา แต่ยกเลิกไม่ต่อสัญญากรมธรรม์อีก หน้าที่ของคุณคือ
หาทางให้ลูกค้ารายนี้ทำสัญญาประกันกับบริษัทเราต่อให้ได้”
หนุ่มใหญ่จอมเจ้าเล่ห์ทำเป็นลุกจากเก้าอี้
เดินเอามือไพล่หลัง แบบกำลังใช้ความคิดหนัก
“คุณกำชัยเป็นเจ้าของกิจการโรงงานทอผ้าขนาดใหญ่
มีคนนับพันคน โรงงานของเขาตั้งอยู่แถวถนนแจ้งวัฒนะ ย่านปากเกร็ด..เขาเคยทำประกันทรัพย์สินและสวัสดิภาพของคนงานทั้งหมดกับเรา
ปีหนึ่งรวมมูลค่าเบี้ยประกันหลายล้านบาท รายละเอียดต่าง ๆ มีอยู่ในแฟ้มนี้แล้ว
คุณลองเอาไปศึกษาดู”
ต้นพลิกแฟ้มอยู่อย่างคร่าวๆ
“แล้วพนักงานคนเก่าที่รับผิดชอบติดตามลูกค้ารายนี้อยู่ละครับ?”
“เขาลาออกไปแล้วคุณจะต้องเป็นคนเดินเรื่องนี้ต่อ
หาข้อมูลให้ได้ว่า เขาเลิกทำประกันกับบริษัทของเราเพราะสาเหตุอะไร
ผมได้รับรายงานว่า กำลังมีบริษัทอื่นส่งคนเข้าไปติดต่อคุณกำชัย
ให้ทำประกันกับบริษัทนั้น
คุณจะต้องหาวิธีจูงใจลูกค้ารายนี้ชิงกลับมาเป็นของเราให้ได้”
มานพหยุดเดิน
หันมองต้นด้วยท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง
“ผลงานชิ้นนี้
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของคุณ…ถ้าคุณทำได้เป็นผลสำเร็จ
ก็จะมีการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งให้คุณอย่างแน่นอน แต่หากงานนี้เกิดล้มเหลวขึ้นมา
คุณนั่นแหละเป็นฝ่ายที่จะต้องพิจารณาตัวคุณเอง…คุณกล้าพอที่จะรับทำไมล่ะครับ…คุณต้น?”
“ครับ…ผู้จัดการ ขอบคุณที่ให้เกียรติผมเป็นผู้รับผิดชอบงานชิ้นนี้
ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเลยครับ….” ต้นตอบอย่างไม่มีการลังเล
“ดีมาก….งั้นขอให้คุณจงโชคดี”
มานพยืนยิ้ม
ยื่นมือออกมา ต้นรีบลุกจับมือกับผู้จัดการของเขา
“ขอบคุณนะครับผู้จัดการ…”
รู้สึกว่ามานพจะบีบมือของเขาแน่นผิดปกติ
สายตาที่จ้องมองดูเขาคล้ายมีความลับลมคมในอะไรแอบแฝงอยู่แต่ต้นก็ไม่ได้สนใจ
โค้งคำรับแล้วหอบแฟ้มงานที่จะต้องรับผิดชอบแล้วเดินออกจากห้องไป
“ทำไมผู้จัดการถึงได้มอบหมายงานชิ้นนี้ให้คุณต้นไปทำล่ะคะ?”
นุชถามเมื่อต้นเดินออกจากห้องแล้ว “ผู้จัดการก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า
เสี่ยกำชัยแกเป็นคนขี้ตืดขนาดไหน..คุณต้นไม่มีวันทำงานชิ้นนี้ได้สำเร็จหรอกค่ะ…”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ”
มานพยิ้มแพรวพราวเต็มใบหน้า มันไม่รู้จักเจียมตัว หน็อย…สะเออะคิดจะมาเส้นใหญ่กับผม คราวนี้แหละ…มันจะต้องถูกเขี่ยออกไปจากบริษัทเมื่อทำงานล้มเหลว”
หนุ่มใหญ่ผู้มีมันสมองอันชั่วร้าย
เดินกลับมานั่งหยิบกล่องยาเส้นขึ้นมาจุดสูบอย่างสบายอกสบายใจ
นุชมองดูผู้จัดการของหล่อนด้วยความรู้สึกสังเวชใจ นึกไม่ถึงจริงๆ
ว่าเขาจะมีความคิดน่าขยะแขยงเช่นนี้
**********
ต้นนั่งศึกษาข้อมูลจากแฟ้มประวัติที่ได้รับมอบหมายมาอยู่พักใหญ่
แล้วจักแจงยกหูโทรศัพท์ติดต่อขอนัดหมายเวลาเข้าพบคุณกำชัย
เลขาทางฝ่ายโน้นแจ้งกำหนดเวลามาให้ทราบ เขารีบจดเอาไว้ในสมุดบันทึก
พอวางหูโทรศัพท์ลงได้เพียงไม่ถึงอึดใจดี
ก็ต้องยกขึ้นมาใหม่ เพราะมีเสียงเรียกเข้ามา
“สวัสดีครับ…”
“พี่ต้นเหรอ…นี่แตนนะ” เสียงแจ๋ว ๆ ดังตามสาย “แตนขอโทษเรื่องเมื่อคืนนี้
แตนกำลังอารมณ์เสียเลยทำท่าปึงปังน่าเกลียดกับพี่ต้นไป พี่ต้นอย่าโกรธแตนเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ…คุณแตน ผมไม่ได้โกรธคุณเลย”
“แหม! พี่ต้นนี่น่ารักจัง…” เสียงแสดงความดีอกดีใจ “แตนอยากบอกเรื่องของพี่ต้นกับคุณพ่อแล้วล่ะ ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่เลย
ยังชมพี่ต้นว่าเป็นคนมีมุมานะดี ท่านว่าคนหนุ่มไฟแรงแบบพี่ต้นท่านชอบ อนาคตต้องไกลแน่ค่ะ”
“คุณพ่อของคุณแตนเป็นคนชมหรือว่าคุณแกล้งชมผมเองกันแน่ครับ?”
“แตนเปล่านะคะ คุณพ่อท่านเป็นคนชมพี่ต้นเองจริง
ๆ ค่ะ ท่านฝากบอกมาว่า
ขอให้พี่ต้นสบายใจได้ท่านจะไม่เข้ามาก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวกับเรืองของพี่ต้นอีก
ขอให้พี่ต้นตั้งใจทำงาน ท่านจะรอดูความสำเร็จของพี่แค่นี้พอใจหรือยังล่ะ?”
“ฝากเรียนท่านด้วยว่า
ผมขอบคุณท่านมีความเข้าใจในตัวผมดี เวลานี้ผมกำลังได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่ง
เพื่อเป็นการพิสูจน์ความสามารถของผมเอง…”
“งานอะไรหรือคะ…พี่ต้น?”
“ติดต่อกับลูกค้ารายหนึ่ง
ที่เคยทำประกันไว้กับบริษัท แล้วบอกเลิกไปเป็นลูกค้ารายใหญ่มาก
เจ้าขอกิจการโรงงานทอผ้า ถ้าทำงานชิ้นนี้สำเร็จ ผมก็จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง”
“แตนดีใจด้วยนะคะ
มีอะไรจะให้แตนช่วยพี่ต้นได้บ้างล่ะ?”
“ไม่ต้องหรอกครับคุณแตน
อย่าดีกว่า…ผมอยากทำงานชิ้นนี้ด้วยตัวของผมเอง”
“งั้นก้อขอให้พี่ต้นโชคดีแล้วกันนะคะ…เย็นนี้เลิกงานแล้วแตนจะไปรับนะคะ”
“วันนี้ผมมีนัดที่จะต้องติดต่อกับลูกค้ารายนี้
ยังไม่รู้เลยว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่ ไม่ต้อหรอกครับคุณแตน”
“แหม ! ก็แตนคิดถึงพี่ต้นนี่นา อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่มีอะไรทำเหงาจะตายไป งั้นพรุ่งนี้วันเสาร์
เป็นวันหยุดของพี่ต้น แตนจะไปหาที่อพาร์ตเม้นท์นะคะ…”
“เอ้อ ! ห้องผมมันยังไม่ค่อยเรียบร้อยดีเลย…” ต้นพยายามจะบ่ายเบี่ยง
“พี่ต้นพูดเหมือนกับว่า
ไม่ต้องการให้แตนไปหายังงั้นแหละ” เสียงทางโน้นตัดพ้อต่อว่า
“เปล่าหรอกนะ…อย่าเข้าใจผิดผมก็คิดถึงคุณแตนเหมือนกัน ถ้าอยากไปก็ตามใจเถอะครับ
“งั้นดีแล้ว…แตนจะชวนยัยตุ่มไปเป็นเพื่อน ซื้ออะไรไปทานกันที่ห้องพี่ต้น แล้วพรุ่งนี้ค่อยพบกันนะคะ
บ๊ายบาย…”
แตนวางหูไปแล้ว ต้นค่อย
ๆ วางหูโทรศัพท์ลงดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมา
หาเอกสารที่จำเป็นออกมาใส่แฟ้มไว้เตรียมตัวที่จะไปพบลูกค้าตามนัด
“พี่ต้น!”
เสียงนุชเรียก
ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะลุกขึ้นต้องชะงักหันไปมองหล่อนกำลังเดินเข้ามาหา
“พี่ต้นกำลังจะไปไหนน่ะ?”
“ผมมีนัดกับคุณกำชัยเอาไว้ก่อนเที่ยง
ต้องรีบไป”
“พี่ต้นจะรับงานชิ้นนี้จริง
ๆ หรือ มันเป็นกับดักของผู้จัดการนะ”
“ทำไมหรือคุณนุช?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย
“เสี่ยกำชัยแกเป็นคนขี้ตืด
เหลี่ยมจัดที่สุดในโลกคราวก่อนกว่าจะยอมทำสัญญา
ก็ตั้งแง่เรียกร้องโน่นนี่เยอะแยะไปหมด แกไม่ได้ต่อสัญญากรมธรรม์มาตั้งเกือบปีแล้ว
พนักงานรายที่ส่งไปติดต่อ ถูกปฏิเสธกลับมาหมด งานนี้มันไม่ง่าย ๆ นะพี่ต้น
มันเป็นแผนของผู้จัดการที่จะหาทางกำจัดพี่ต้นเมื่อทำงานไม่สำเร็จ
ขอให้คิดดูใหม่ก่อนเถอะนะ” นุชเตือนด้วยความหวังดี
ทำให้ต้นถึงกับยืนอึ้งไป
เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมานพถึงได้มีความชิงชังในตัวเขามากมายนัก
แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนกำจัดเขา
ต้นก็ยังไม่ยอมเลิกราความตั้งใจที่จะทำงานชิ้นนี้
อย่างมากถ้าไม่สำเร็จก็ลาออกเองไม่ต้องรอให้เขาไล่หรอก
แต่ถ้างานชิ้นนี้เกิดสำเร็จขึ้นมาล่ะ เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่า
มานพจะทำตามที่เขารับปากเอาไว้หรือเปล่า
“ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกคุณนุชจะลองทำดู
เพื่อเป็นการพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
เขาบอกอย่างมั่นใจ
ก่อนที่จะเดินออกจากที่ทำงานไป
โรงงานทอผ้าของเสี่ยกำชัยมีอาณาบริเวณใหญ่โตกว้างขวาง
ประกอบด้วยอาคารหลายหลังเรียงรายติดต่อกันอยู่ในกำแพงรั้วสูง
ต้นลงจากรถแท็กซี่ชำระค่าโดยสาร
แล้วเดินเข้าไปติดต่อกับยามที่บล็อกหน้าประตู เมื่อทราบจุดประสงค์ในการมาของเขา
ยามรักษาการณ์จึงชี้บอกทางให้กับชายหนุ่ม
ผ่านประตูรั้วเข้าไป
ทางซ้ายมือเป็นตึกสามชั้นหลังใหญ่ ต้นเดินเข้าไปในตึกหลังนั้น
ขึ้นบันไดไปชั้นที่สามตามที่ยามแนะนำ
ชั้นนี้เป็นออฟฟิศของโรงงานมีลักษณะเป็นห้องกระจกกว้างติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
ชายหนุ่มผลักประตูกระจกเข้าไป
ติดต่อกับพนักงานสาวที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ประตู
หล่อนชี้ทางให้เดินผ่านโต๊ะทำงานพนักงานแผนกต่าง
ๆเข้าไปจนถึงโต๊ะเลขาหน้าห้องผู้อำนวยการโรงงาน
“ผมมาจากบริษัทประกัน
จะมาขอพบท่านผู้อำนวยการตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ครับ”
เขาบอกจุดประสงค์นี้
พร้อมกับส่งนามบัตรให้หล่อนรับไปพลิกดู
“เชิญนั่งก่อนค่ะ…ท่านผู้อำนวยการกำลังพูดธุระอยู่กับลูกชายของท่าน นั่งรอสักครู่นะคะ”
ใกล้กับโต๊ะทำงานของหล่อน
มีโซฟายาวสำหรับให้แขกที่จะมาเข้าพบนั่งรอ ต้นเดินไปทรุดตัวลงนั่งรอ ต้นเดินไปทรุดตัวลงนั่งตรวจดูเอกสารในแฟ้มให้เรียบร้อยอีกครั้งเป็นการฆ่าเวลา
ในห้องทำงานของเสี่ยกำชัย
เสี่ยใหญ่รูปร่างสมบูรณ์ หัวเถิกตาหยีเล็กตามลักษณะของคหบดีจีนผู้มั่งคั่ง
กำลังนั่งมองเด็กหนุ่มซึ่งมีหุ่นสมบูรณ์ใกล้เคียงกัน
นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาอันเดือดดาล
“พอกันที…กูไม่ให้มึงอีกแล้วไอ้ปื๊ด…ไอ้เด็กฉิบหาย…ไอ้ลูกไม่รักดี”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น