โดย...เจิด
จินตนา
๖
. . .
“โธ่เตี่ย…ของแค่สามพันเท่านั้นเองน่า…จะเอาไปจ่ายค่าเช่าห้อง
ผมติดค้างเค้าไว้สองเดือนแล้ว โดนทวงทั้งเช้าทั้งเย็น ขายขี้หน้าเขาจะตายไป เงินนิดๆหน่อยๆแค่นี้
เตี่ยไม่น่าจะใจจืดใจดำกับผมเลย…”
ปื๊ดออดอ้อนพรรณนาเสียยืดยาว
หวังให้เตี่ยของเขาใจอ่อน แต่เสี่ยกำชัยกลับทุบโต๊ะเปรี้ยงแล้วยกมือชี้หน้าลูกชาย
“มึงอย่าหวังเลยว่าจะได้เงินจากดูไปอีกแม้แต่เพียงเก๊เดียว ไอ้ลูกระยำ บ้านช่องออกใหญ่โตมีให้มึงอยู่เสือกไม่ยอมอยู่
หน็อย…ทำอวดดี…หนีออกจากบ้านไปเช่าหอพัก…”
“เขาเรียกอพาร์ตเม้นท์น่ะเตี่ย”
“เออน่า…ช่างกู…กูจะเรียกยังไงมันก็เรื่องของกู”
“ผมอยู่บ้านเล่นดนตรีเตี่ยก็ด่าหาว่าทำเสียงหนวกหู
แล้วจะให้ผมทนอยู่ได้ยังไงล่ะ….”
“ไอ้อาชีพนักดนตรีของมึงน่ะ
มันพอยาไส้หรือวะหือ…ไอ้ปื๊ด กูถามมึงหน่อยเหอะ…กิจการของเสี่ยตั้งมากมายก่ายกอง
ทำไมมึงไม่มาคิดช่วยดูแลกิจการมั้งมัวแต่ห่วงเล่นดนตรีบ้าบอคอแตกของมึง
ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องมาแบมือขอเงินกูใช้อีก”
“ผมไม่ชอบงานแบบนี้นี่นา
แล้วเตี่ยเองก็มีลูกน้องอยู่ด้วยตั้งเยอะตั้งแยะ
ขาดผมเพียงคนเดียวไม่ถึงกับทำให้กิจการของเตี่ยล่มจมไปหรอกน่า
ดนตรีเป็นชีวิตจิตใจของผม
เตี่ยอย่ามาบังคับผมเสียให้ยากเลยผมไม่มีวันยอมเลิกเล่นมันอย่างเด็ดขาด!”
“ไอ้ลูกเวร…พูดคำมึงก็เถียงคำไม่มีตกฟาก
มึงรู้มั้ยไอ้ตี๋ว่ามึงทำให้แม่ของมึงน้ะต้องช้ำใจขนาดไหน ตั้งแต่มึงออกจากบ้าน
แม่มึงก็เอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ข้าวปลาไม่ค่อยเป็นอันกิน
จนซูบผอมลงไปตั้งหลายกิโลแล้วเวลานี้…”
“ก็ดีแล้วนี่เตี่ย…แม่จะได้ไม่ต้องไปเวิลค์คลับลดน้ำหนักเสียเวลา…เปลืองเงินเปลืองทอง”
“ไอ้ส้นตีน…!” เสี่ยชัยลุกพรวดพราดจากเก้าอี้
เอื้อมมือจะตบกบาล เด็กหนุ่มต้องรีบหลบวื้ด “ยังจะมีหน้ามาทำพูดดีอีก
แม่มึงไม่ได้ร้องไห้เปล่า กูพลอยโดนเช้าด่าเย็นไปด้วย…กูว่าทางที่ดีมึงรีบขนของกลับไปอยู่บ้านอย่างเดิมเสียดีกว่าว่ะ…”
“ไม่เอาหรอกครับ…ผมกลับไปอยู่บ้าน เตี่ยจะมาบังคับให้ผมเลิกเล่นดนตรีอีก”
“ถ้ายังงั้น…กูก็จะไม่ให้สตางค์มึงใช้อีกแม้แต่แดงเดียว…”
“เตี่ยจะไม่ยอมให้จริง
ๆ น่ะ เหรอ?” ปื๊ดถามย้ำแบบกวน ๆ
“จริง!” เสี่ยใหญ่เน้นเสียงหนักแน่น
“ดีล่ะ…งั้นผมจะไปฟ้องแม่
ว่าเตี่ยเลี้ยงอีหนูไว้เป็นเมียน้อยตั้งหลายคนเป็นเด็กในโรงงานก็มี….”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นสะบัดก้น
จะเดินออกไปจากห้องผู้เป็นพ่อตาหูเหลือกรีบยื้อยุดฉุดแขนลูกชายเอาไว้
“ไอ๊หยา…ไอ้ตี๋…มึงอย่าทำบ้า ๆ แบบนี้นะ
ขืนไปซี้ซั้วพูดแม่มึงมีหวังเล่นงานกูตายโหง…มึงก็รู้นี่นาว่าแม่ของมึงขี้หึงขนาดไหน
ซี้ซั้วพูดไม่ได้นามึงจะเอาเท่าไหร่บอกมา?”
เสียงเตี่ยชักอ่อนลง
วิธีนี้ได้ผล ปื๊ดยิ้มหน้าใสอย่างผู้มีชัย
“ห้าพันเตี่ย…ค่าเช่าห้องสามพันค่าปิดปากอีกสอง”
ผู้เป็นพ่อทำปากขมุบขมิบด่าลูกชาย
แล้วควักกระเป๋าหยิบแบงค์ห้าร้อยปึกใหญ่ออกมานับส่งให้
“ไปเลย…มึงจะไปไหนก็รีบไปๆ ไปให้พ้นหน้ากู!”
“ได้เงินแล้วนี่….ไม่ต้องรอให้เตี่ยออกปากไล่ซ้ำปื๊ดยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินตัวปลิวออกจากห้องทันที
พอเปิดประตูห้องทำงานของเตี่ยออกมา ปื๊ดก็เหลือบเห็นต้นนั่งอยู่ที่โซฟายาว
“อ้าว ! พี่ต้น…มาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”
ร้องทักพร้อมกับก้าวเข้ามาหาชายหนุ่มลุกขึ้นยืน
“บริษัทมอบหมายให้ผมมาติดต่อเรื่องประกันน่ะ”
“อ้อ ! พี่ต้นทำงานอยู่บริษัทประกันเองหรอกเหรอครับ
เด็กหนุ่มเจ้าเนื้อถามอย่างรู้สึกแปลกใจ
ต้นพยักหน้ารับ
“ใช่…แล้วคุณปื๊ดล่ะ….มาที่นี่ทำไม?”
“ผมมาขอเงินจากเตี่ยไปจ่ายค่าเช่าห้อง…”
ปื๊ดป้องปากกระซิบบอก อีกมือตบที่กระเป๋าของตนเอง “เรียบร้อยแล้ว ไปก่อนนะ…จะรีบเอาเงินไปให้คุณนายโฉมศรี
แม่ง…ทวงเช้าทวงเย็น”
พูดจบปับปื๊ดก็เดินจากไป
ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนมองตามอ้าปากหวอ
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเจ้าเนื้อท่าทางพิลึกพิลั่นผู้นี้จะเป็นถึงลูกชายผู้อำนวยการโรงงานทอผ้าซึ่งมีกิจการใหญ่โต
เห็นชอบแต่งตัวแปลก ๆ ถือกีตาร์นึกว่าเป็นแค่นักดนตรีกระจอก ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ท่านผู้อำนวยการให้เข้าพบได้แล้วค่ะ”
เสียงเลขาสาวปลุกให้ตื่นจากภวังค์
รีบกล่าวคำขอบคุณ
แล้วเดินไปเคะประตูขออนุญาติตามมารยาทก่อนที่จะเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป
เสี่ยกำชัยเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่ง
ต้นรีบควักนามบัตรยื่นส่งให้ด้วยท่าทางพินอบพิเทา
“ผมมาติดต่อเรื่องประกันครับ
เจ้านายใช้ให้เป็นคนมาดำเนินเรื่องต่อ
ท่านเคยเชื่อถือและมอบความไว้วางใจให้เกียรติบริษัทของเราเป็นผู้รับประกันทรัพย์สินอันมีค่าของท่าน
รวมทั้งสวัสดิการทั้งหมดของพนักงานทุกคนในโรงงานนี้
ท่านคงทราบดีอยู่แล้วถึงความมั่นคงและบริการอันรวดเร็วฉับพลันของบริษัทเรา
ผมจะไม่ขอรบกวนเวลาอันมีค่ามากนักหรอกครับ”
ต้นร่ายยาวตามแบบฉบับของนักหาประกัน
จนเสี่ยกำชัยต้องรีบเบรก
“ผมรู้แล้ว…ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงเชิญคุณมาพบยังไงล่ะ!”
“หมายความว่า……ท่านตกลงจะต่อสัญญาประกันกับบริษัทของเรา แหม ! ขอบคุณมากเลยครับ!”
ท่าทางต้นดีอกดีใจ
ไม่นึกว่าเรื่องมันจะง่ายดายอย่างผิดคาดเช่นนี้ “นับว่าท่านเป็นผู้ที่มองการณ์ไกล
มีสายตาอันชาญฉลาด
บริษัทของเราก่อตั้งมานานแล้วเป็นที่เชื่อถือในวงการธุรกิจขนาดใหญ่”
“พอแล้ว…พอ…” เสี่ยกำชัยโบกมือห้าม “ใครบอกล่ะว่าผมจะต่อประกันกับบริษัทของคุณ…ที่ผมเชิญคุณมาในวันนี้ก็เพื่อจะขอร้องกันดี ๆ ว่าให้เลิกมากวนใจผมเสียที…”
ชายหนุ่มหน้าจ๋อยลงไปถนัด
เสี่ยกำชัยผุดลุกขึ้นยืนเท้าโต๊ะ
“ช่วยกลับไปบอกกับอีตามานพเจ้านายของคุณด้วยว่า
ให้เลิกส่งคนมารบกวนเวลาของผมได้แล้ว ผมไม่มีเวลาที่จะมานั่งฟังพวกคุณพร่ำพูดเรื่องบ้าๆ
แบบนี้และไม่คิดที่จะทำประกันต่อไปอีกอย่างเด็ดขาด ! !”
“แต่ว่า…ท่านครับ”
“ไม่มีแต่…คุณไปได้แล้ว ผมจะทำงาน…โน่นประตู”
เสี่ยใหญ่ชี้มือไปที่ประตู
พร้อมกับตะคอกเสียงดังทำเอาต้นหน้าชารีบลนลานคว้าแฟ้มยกมือไหว้ลากลับทันที
**********
ชายหนุ่มเดินใจลอยมาจากตึกที่ทำงานของเสี่ยกำชัย
นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้มันจะกลับตาลปัตรให้ต้องหน้าแตกเช่นนี้
งานชิ้นนี้เห็นจะไม่ใช่เรื่องหมู ๆ เสียแล้วอาจมีหวังปิ๋ว
หรือไม่ก็ต้องลุ้นกันจนหืดขึ้นคอ แต่จะมีวิธีใดล่ะถึงจะสามารถจูงใจให้เสี่ยกำชัยยอมเปลี่ยนความตั้งใจได้
ยิ่งคิดต้นก็ยิ่งสับสน
เขาก้าวเดินอย่างเหม่อลอยลงไปบนลานจอดรถหน้าตึก
จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีรถบีเอ็มดับบลิวสีเปลือกมังคุดกำลังเลี้ยวปราดพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
คนขับเหยียบเบรกจนตัวโก่ง เสียงล้อรถที่ครูดไปกับพื้นปูนเพราะถูกบังคับให้รถหยุดอย่างฉับพลันทำให้ต้นได้สติหันมอง แล้วกระโจนหลบอย่างตกใจ
กันชนเฉียดร่างของเขาห่างกันเพียงแค่เส้นยาแดง เข้าล้มกลิ้งไปบนพื้น แฟ้มหลุดมือ
เอกสารปลิวกระจาย ท่ามกลางเสียงหวัดร้องอย่างตื่นตระหนกของคนงานสาวๆ ที่เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
เจ้าของรถเปิดประตูวิ่งพรวดพราดมาดูอาการของต้น หล่อนเป็นหญิงสาวขาวอวบ ในชุดกระโปรงสีแดงแช๊ตรัดรูปสั้นเต่อ คอคว้านลึกจนเห็นเนินอกอวบอูมมโหฬาร รีบขุกเข่าลงประคองร่างของเขา จนถันนูนทั้งคู่เกือบจะทิ่มโดนหน้าต้น กลิ่นน้ำหอมฉุนกึ่กโชยมาเตะจมูกแทบสำลัก
“คุณ….คุณ…เป็นยังไงบ้างคะ ?”
เสียงถามร้อนรนอย่างเป็นกังวลต้นลุกขึ้นนั่งขยับให้ถอยห่างออกมาจากหล่อน
“ไม่….ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เหล่าคนงานสาวๆที่ยืนมองเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรมาก ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ตามหน้าที่ของตน หญิงสาวนั่งคุกเข่ากับพื้น จ้องมองดูเขาอย่างไม่วางตาทำเอาต้นชักเขิน
กระโปรงสั้นอยู่แล้วเลิกสูงขึ้น จนแลเห็นโคนขาขาวนวลอวบ เหมือนยวกกล้วทั้งสองข้าง สะโพกผายเอวคอด ใบหน้าถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางดูสวยเฉี่ยวสะดุดตา ไว้ผมยาวดัดหยิกเป็นลอนใหญ่ จัดว่าเป็นหญิงที่มีเรืองร่าง และหน้าตาเซ็กซี่มิใช่น้อย มีเสน่ห์ร้อนแรงไปทั้งตัว
“ขอโทษนะคะ…..ที่เกือบจะขับรถชนคุกเข่า ไม่นึกว่าคุรจะเดินลงมาแบบนั้น”
“เป็นความผิดของผมเองครับ
ก็เดินซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ
คุณไม่ผิดหรอก”
ต้นลงมือเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายกลับใส่แฟ้ม
หญิงสาวก้มลงช่วยเก็บอย่างขะมักเขม้น คอเสื้อที่คว้านลึกอยู่แล้วยิ่งเปิดกว้างเข้าไปอีก แทบมองเห็นอะไรต่อมิอะไรทะลุปรุโปร่ง
ต้นเหลือเห็นเข้าต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่
“คุณทำงานอยู่บริษัทประกันหรือคะ ?” ถามเพราะเห็นหัวกระดาษเอกสารที่ช่วยเก็บ
“ใช่ครับ !” ต้นรีบก้มตาเก็บเอกสารทุกชิ้นเข้าแฟ้มจนเสร็จเรียบร้อย ถือแฟ้มลุกขึ้นยืน หญิงสาวลุกขึ้นยืนตาม
“ไปให้หมอตรวจเช็คดูเสียหน่อยดีไหมคะคุณ…..เอ้อ !”
“ฉันอรอนงค์
ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณอย่างไม่คาดฝันแบบนี้” หล่อนยิ้มด้วยประกายตาหยาดเยิ้มแพรวพราว
“ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้คุณต้นต้องตกอกตกใจ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับคุณอรอนงค์”
“มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกนะคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ…..เอ้อ !” ผมเห็นจะต้องขอตัวไปก่อนนะครับ
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณต้น” เห็นเขาทำท่าจะเดินจากไป อรอนงค์รีบเรียกเอาไว้
คุณมาติดต่อเรื่องประกันใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับ !”
“เสี่ยแกไม่ยอมทำประกันง่ายๆ แต่ฉันพอจะช่วยพูดให้ได้….” หล่อนเปิดกระเป่าถือที่วางอยู่ตรงเบาะหน้ารถ
หยิบปากกาจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระดาษแผ่นเล็กๆ
“นี่เบอร์โทรศัพท์ของฉัน ถ้าต้องการความช่วยเหลือโทรไปหาได้ทุกเวลา”
“ขอบคุณครับ !” ต้นรับกระดาษแผ่นนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อ ยิ้มให้หล่อนนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเดินจากไป
หญิงสาวยังคงยืนมองดูเขา
จนกระทั่งเห็นเดินเลี้ยวออกนอกประตูรั้วโรงงานไปแล้ว หล่อนจึงหันหลังกลับเดินเข้าไปในตัวตึก
ขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสามแล้วผลักประตูกระจกเข้าไปในสำนักงาน
หล่อนเดินเชิดหน้า
ผ่านพนักงานที่พากันจ้องมองอย่างไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น มาถึงหน้าห้องทำงานของเสี่ยกำชัย ถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป
เสี่ยกำชัยกำลังอารมณ์เสียกับลูกชายคนเดียวที่ไม่ยอมเอาถ่านและพนักงานบริษัทประกันจอมตื๊อ
แต่พอเห็นอรอนงค์เดินเข้ามาสีหน้าที่บูดบึ้งอยู่กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาในทันที
รีบลุกขึ้น
“มาแล้วหรือจ๊ะอร…คนดีของป๋า
มามาะ….มาให้ป๋าชื่นใจหน่อย”
หญิงสาวโผเข้าโอบเอวเสี่ยใหญ่ซบหน้าลงกับไหล่อย่างฉอเลาะ
“ป๋าขา…..อรคิดถึง……คิดถึงป๋าใจแทบขาด
ป่าไม่ได้ไปหาอรตั้งสามวันแล้วนะ”
“โถ….ทูนหัวของป๋าก็อยากไปหาหนูเหมือนกัน แต่พักนี้งานมันยุ่งน่ะ เลยไปหาไม่ได้”
“งานยุ่งจริงๆ หรือว่าเกิดเบื่ออรขึ้นมาแล้วกันแน่คะป๋า ?”
“งานยุ่งจริงๆนะจ๊ะหนู ป๋าต้องคอยเทคแคร์ลูกค้าจากต่างปรเทศ จนไม่มีเวลาว่างเลย”
“ไม่ใช่แอบไปมีคนใหม่อีกนะคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ…ป๋ารักหนูอรคนเดียวของป๋าจริงๆ”
“จริงนะคะป๋า ?”
“จ้ะ…ทูนหัว” พูดพร้อมกับหอมแก้มอรอนงค์ดังฟอด หญิงสาวเอียงแก้มอีกข้างให้
“วันนี้ป๋าต้องพาอรไปซื้อแหวนเพชรตามที่สัญญาเอาไว้นะคะ ไม่งั้นอรไม่ยอมจริงๆด้วย”
“จ้ะๆ คนดีของป๋า…ป๋าจะรีบพาไปเดี่ยวนี้แหละ” เสี่ยกำชัยเดินไปกดปุ่มโทรศัพท์ติดต่อภายในถึงเลขาหน้าห้อง
“ผมจะออกไปธุระ…ถ้ามีใครจะมาขอพบบอกว่าวันนี้จะไม่กลับเข้าออฟฟิศ” สั่งเสร็จหันมาทางอรอนงค์ “ไปกันได้แล้วจ้ะ…หนูอร !”
“แหม ! ป๋าใจดี๊ใจดี….อรรักป๋าจังเลย”
อรอนงค์เป็นเมียน้อยคนโปรดของเสี่ยกำชัย เพราะเรือนร่านอันยั่วยวน ประกอบการออเซาะฉอเลาะเก่ง เสี่ยจึงรักมากเป็นพิเศษ ขนาดแอบซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนี่ยมหรูหรา โอ่อาให้อยู่ พร้อมด้วยรถเก๋งอีกคัน โดยที่ไม่ให้เมียทางบ้านรู้
หล่อนเป็นเด็กสาวจากชนบทห่างไกลที่แร้นแค้น
จึงต้องอาศัยเรือนร่างอันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อแม่ให้มาปูทางแสวงหาความสุขสบายใส่ตัว
เคยผ่านเวทีประกวดนางงามมาแล้วอย่างโซกโซนและติดอันดับเข้ารอบรางนางงามเวทีประกวด
ระดับชาติ ก่อนที่จะมาเป็นเมียน้อยของเสี่ยกำชัย ซึ่งเสี่ยลุ่มหลงหล่อนเอาอย่างมาก ถึงขนาดยอมเลิกกับเมียน้อยเมียเก็บคนอื่นๆ ทุ่มเทความรักทั้งหมดมาที่หล่อนเพียงคนเดียว
จากเด็กสาวที่เคยต้องอดมื้อกินมื้อ
หล่อนมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝันอยากจะได้ มีความเป็นอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ใครจะว่ามีผัวแก่คราวพ่อก็ช่างหัวมัน กอบโกยทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ก่อน
เรื่องอย่างอื่นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
**********
ต้นกลับมาถึงทีทำงานด้วยจิตใจอันห่อเหี่ยว
ตลอดช่วงบ่ายวันนั้นเขาเอาแต่นั่งจมปลักอยู่กับโต๊ะทำงานแทบจะไม่ได้ลุกเดินไปไหนเลย นุชเห็นอาการของชายหนุ่ม จึงเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ช่วยปลุกปลอบใจเพื่อนร่วมงาน ให้มีมานะพยายามอย่าเพิ่งยอมแพ้ จนกว่าจะรู้ว่าสิ้นหนทางแล้วจริงๆ
ได้เวลาเลิกงานแล้ว
มานพออกจากห้องของเขาเห็นชายหนุ่มนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะ แกล้งทำทีแวะเวียนเข้ามาถาม
“เป็นยังไง ….ได้เรื่องบ้างไหม
?”
“ยังไม่ได้เรื่องเลยครับ…คุณกำชัยยังไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ชี้แจงรายละเอียด…”
หนุ่มใหญ่เอามือตบไหล่ต้นเบาๆ
ท่าทีเหมือนแสดงความเห็นใจ แต่น้ำเสียงกลับแผงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “อย่าเพิ่มท้อแท้ใจไปเลนคุณต้น เรื่องแค่นี้ไม่พ้นความสามารถจองคุณไปได้หรอกน่า….ผมจะให้เวลาคุณ ทำงานชิ้นนี้อย่างสบายๆสักเดือนหนึ่ง เชื่อว่าคุณต้องทำได้สำเร็จแน่ เวลาตั้งเดือนพอถมเถไป…จริงมั้ย ?”
พูดทิ้งท้ายไว้ให้คิด
ก่อนที่จะยิ้มให้กับชายหนุ่มแล้วก้าวเดินออกจากห้องไปที่ลิฟท์
ต้นนั่งตัวแข็งอยู่กับที่ เผลอกำมือแน่นอย่างลืมตัว
คำพูดและรอยยิ้มของเข้านายมันช่างเสียดแทงความรู้สึกของเขายิ่งนัก เหมือนดังจะเยาะเย้ยในความปราชัยของเขาที่แลเห็นอยู่แน่ๆแล้ว
ไม่….เขาจะยอมพ่ายแพ้ต่อกลอุบายสกปรกของชายคนนี้อย่างง่ายๆไม่ได้เด็ดขาด จะต้องใช้ความพยายามให้ถึงที่สุด เวลาของเขายังพอมีภายในหนึ่งเดือน ที่ผู้จัดการเขาให้ไว้ เหตุการณ์ต่างๆ มันอาจจะผันแปรเปลี่ยน
จากร้ายกลายเป็นดีใครล่ะที่จะรู้
คิดได้ดังนั้น
ายหนุ่มจึงรีบจัดแจงเก็บข้าวของลงลิ้นชัก
เตรียมตัวกลับไปพักผ่อน
เอาไว้สมองโล่งปลอดโปร่งเมื่อไหร่
ค่อยคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้กันใหม่
**********
ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าอยู่รอมร่อ เมื่อต้นกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ พอเดินเลี้ยวเข้าประตูรั้ว เขาเห็นลุงม้วนนั่งพรวนดินอยู่ใต้พุ่มดอกเข็มริมรั้ว ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แกนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปขึ้นบันได
ลุงม้วนเงยกน้าขึ้นมองตามแล้วก้มหน้าก้มตาพรวนดินของแกต่อไป
อพาร์ตเม้นท์ในยามนี้
ผู้คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเพราะเป็นช่วงเวลาเสร็จจากงานภาระกิจประจำวัน ซึ่งต้องเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว จึงอยากที่จะกลับมาเพื่อพักผ่อนเอาแรง ในทางตรงกันข้าม
ผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่ยึดอาชีพหากินกับแสงสีในยามราตรี กำลังเตรียมตัวที่จะออกไปทำงานกัน
ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไป โดยไม่สนอกสนใจกับใครทั้งนั้น จนถึงชั้นสาม
รีบตรงไปที่หน้าห้องของตนเอง
ล้วงกุญแจไขประตูห้องเปิดเข้าไป
รอบกายมีแต่ความมืดสลัว
เขาต้องยืนตกตะลึงเพราะเห็นประตูตู้เสื้อผ้าเปิดอ้าหราอยู่
ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าของเขาทุกชิ้นไม่ได้อยู่ในที่ๆเขาจัดวางเอาไว้ บนพื้นห้องหน้าเตียงนอนกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลใบใหญ่ถูกวางอยู่ข้างกายญิงสาวคนที่มาหาเรื่องกับเขาเมื่อคืนนี้
หล่อนกำลังยืนกอดอกมองดูเขาอยู่ ต้นฉุนกึกขึ้นมาทันที รีบเดินปราดเข้าไปหา
“อะไรกันนี่…คุณทำอย่างนี้หมายความว่ายังไงกัน ?”
“ ข้าเก็บของให้เรีบยร้อยแล้ว….เจ้าไปได้” น้ำเสียงของหล่อนฟังดูห้วนๆเย็นชา
ต้นต้องพูดโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
“คุณถือดียังไงถึงมาไล่ผม
นี่มันห้องของผมนะ !”
“เจ้าเป็นคนรับปากเองเมื่อคืนนี้ หรือว่าเจ้าคิดจะตระบัดสัตย์ ?” วนาตาเขียว
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น” ต้นยืนกราน “ค่าเช่าห้องผมก็จ่ายล่วงหน้าครบถ้วน สัญญาเช่ามีถูกต้องเรียบร้อย ผมมีสิทธิ์ที่จะอยู่ห้องนี้ ต่อให้คุณใช้วิธีการยังไง ก็ไล่ผมออกไปจาห้องนี้ไม่ได้ !”
“แน่ใจหรือ ?” วนาลากเสียงยาว
“แน่ใจซี่…คุณนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายไป เลิกคิดทำเรื่องบ้าๆกวนใจผมเสียที มันใช้กับผมไม่ได้ผลหรอกนะ”
นางไม้สาวรู้สึกโกรธจนพูดอะไรไม่ออก หล่อนจ้องมองไปที่กระเป๋าเดินทาง เบิกตากว้าง
ใช้อำนาจที่มีอยู่บังคับกระเป่าเดินทางใบนั้นให้ลอยขึ้นจากพื้นห้องแล้วพุ่งตรงไปที่ประตู
ต้นใจหายวาบ….รีบกระโจนเข้าคว้ามากอดไว้แน่ หันมองหญิงสาวอย่างรู้สึกแปลกใจ
“คุณจะบ้าเหรอ….หยุดเล่นตลกเสียทีเถอะน่า…”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น