โดย...เจิด
จินตนา
๒๒
. . .
โฉมศรีรู้สึกผิดหวังอย่างแรงจนถึงกับซึมไปเลยทีเดียว
เมื่อการเจรจากับต้นต้องล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิง
เงินก้อนใหญ่ที่คาดหวังไว้ว่าตะได้พลันละลายหายไปในพริบตา
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ทันทีที่ต้นก้าวพ้นสำนักงานของอพาร์ตเม้นท์ออกไป
หล่อนรีบติดต่อโทรศัพท์ไปถึงแตนด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจ
“เสียใจจริง ๆ
นะคะคุณแตนคุณต้นปฏิเสธไม่ยอมย้ายออกจากห้องค่ะ” โฉมศรีบอก
เมื่อหญิงสาวมารับสาย
“อ้าว ! ทำไมถึงเป็นอย่างงั้นล่ะคุณโฉมศรีบอกเขาหรือเปล่าคะ
ว่าจะจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้”
“บอกค่ะ….ฉันเสนอให้คุณต้นตั้งหนึ่งหมื่นบาทแต่เขาไม่ยอมรับค่ะ”
“พี่ต้นพูดกับคุณโฉมศรีว่ายังไงหรือคะ?”
“เขาว่าเขาชอบห้องนั้น ถึงแม้ฉันจะพยายามเตือนเขาแล้วว่าผีดุยังไงเขาก็ไม่ยอมเชื่อ
ดูเหมือนคุณต้นจะไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยนะคะ”
“แสดงว่าพี่ต้นต้องถูกนังผีตัวนั้นทำเสน่ห์แน่
ถึงได้เกิดหลงมันจนงมงายแบบนี้…”
เสียงของแตนกระแทกกระทั้นเหมือนกัดฟันพูดอย่างคับแค้นใจ
ทำให้โฉมศรีหูผึ่ง
“ต๊าย ! เป็นไปได้หรือคะคุณแตน?”
“หนูคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ
เพราะไม่ว่าใครจะพูดยังไงเขาก็ไม่เคยเชื่อ กลับออกตัวช่วยปกป้องมันเสียด้วยซ้ำไป”
“อืมม์….นั่นน่ะซิคะ” สาวใหญ่พยักหน้าหงึกหงัก นึกถึงท่าทางของต้นแล้วเห็นจริงเห็นจัง
คล้อยตามคำพูดของแตนไปด้วย….” ลองเป็นแบบนี้คุณต้นต้องแย่แน่
ๆ เลยค่ะ ปล่อยไว้ไม่ได้นะคะ ไม่ช้าอาจจะโดนผีเล่นงานเอาจนตาย”
“หนูก็กลุ้มใจเหมือนกัน
มันมืดแปดด้านไปหมดไม่รู้จริง ๆ ว่าจะช่วยพี่ต้นได้ยังไง…”
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ
ถ้าคุณแตนต้องการจะช่วยคุณต้นจริง ๆ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้หมอผีจัดการค่ะ”
“หมอผีหรือคะ…” แตนถามย้ำ น้ำเสียงฟังดูแล้วเหมือนไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก
“ค่ะ…ฉันรู้จักหมอผีอยู่คนหนึ่งชื่อหมอฉุย
แกเป็นคนเก่งมากในเรื่องนี้มีวิชาอาคมในการจับผี จนเป็นที่เลื่องลือคนขึ้นมากเลยค่ะ….”
โฉมศรีบรรยายสรรพคุณของหมอฉุยอย่างรู้สึกมีความศรัทธาในตัวหมอผีคนนี้เต็มที่แล้ว
ทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อมีหนทางอื่นแล้ว หากจะลองเชื่อถือดูบ้าง มันจึงไม่เสียหายอะไรไม่ใช่หรือ
“คุณโฉมศรีช่วยพาหนูไปหาหน่อย
ได้หรือเปล่าล่ะคะ?”
“ได้ซิคะคุณแตน….แต่หมอฉุยแกคิดทำพิธีแพงหน่อยนะคะ”
“แพงแค่ไหนหนูไม่ว่า……..ขอให้ได้ผลก็แล้วกันค่ะ….”
**********
ต้นตรงดิ่งกลับเข้าห้องของตน
ด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ว่าทำไมแตนถึงไม่ยอมฟังเขาบ้าง กลับตั้งหน้าตั้งตาที่จะเอาชนะวนาให้ได้อยู่ท่าเดียว
ทั้ง ๆ ที่นางไม้สาวยอมอ่อนข้อให้กับหล่อนแล้ว
ถ้าจะเปรียบเทียบกันไปแล้ว
ผียังดีกว่าคนตรงที่พูดกันรู้เรื่อง และมีความเห็นอกเห็นใจ
แต่ดูเหมือนว่าคนรักของเขาจะไม่ยอมรับรู้และเข้าใจอะไรเลย
ชายหนุ่มลืมนึกถึงความจริงไปข้อหนึ่งที่ว่า
ผู้หญิงลองเกิดความหึงหวงขึ้นมาแล้ว ต้องพยายามที่จะเอาชนะกันให้ได้ทุกวิถีทาง
เพื่อช่วงชิงคนที่หล่อนรักมาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
เห็นสีหน้าของชายหนุ่ม
แสดงอาการหมองคล้ำตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในห้องแล้ว นางไม้สาวนึกรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่
“เป็นอะไรไปหรือคะคุณต้น?”
หล่อนเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นเขานั่งซึมอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“เปล่า…ไม่มีอะไรหรอกครับ” เขาพยายามบ่ายเบี่ยง
เพราะไม่อยากให้วนารู้ความจริงว่าแตนกำลังคิดที่จะทำอะไรอยู่…”
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ?”
นางไม้สาวรู้ว่าเขาคงมีความในใจ
ที่ไม่อยากบอกทั้ง ๆ ที่ลักษณะท่าทางของเขามันฟ้องให้เห็นอยู่ชัดๆ แต่หล่อนอดถามอย่างห่วงใยไม่ได้
“ไม่หรอกครับคุณวนา…ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“มีอะไรบอกมาเถอะค่ะ….บางทีวนาอาจจะช่วยอะไรคุณต้นได้บ้าง!”
หล่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างยื่นมือจับแขนของเขาอย่างแผ่วเบาเหมือนเป็นการปลอบประโลมใจ
เขาเงยหน้าขึ้นมองสบตาหล่อน แววตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความมัวหมอง
“ช่วยบอกผมทีได้ไหมครับคุณวนา
ทำไมผู้หญิงถึงได้ช่างเข้าใจอะไรยากเย็นเสียจริง?”
“ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปทุกคนหรอกค่ะคุณต้น….”
หล่อนยิ้มน้อย ๆ “มันขึ้นอยู่กับนิสัยของแต่ละคน
บางคนรู้จักนึกคิด มีเหตุผล แต่บางคนอาจจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจนเกินไป
จนทำให้ไม่ยอมรับฟังเหตุผลและความจริง
นอกจากเชื่อความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่านั้น”
“คงจะเป็นอย่างที่คุณว่านั่นแหละ…”
เขาพยักหน้าช้า ๆ ใช้ความคิด
“ความเห็นแก่ตัวทำให้คนเรามองอะไรในแง่ร้าย….เห็นคนอื่นเป็นศัตรูไปเสียหมด ที่โลกของเราต้องวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้
เป็นเพราะความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดีกันของคนเรานี่แหละ”
“อย่าไปคิดอะไรมากเลยค่ะ….ในเมื่อเรามีความจริงใจเสียอย่าง วางตัวเฉยไม่ตอบโต้ มิช้านานนักหรอกค่ะ
คนอื่นจะต้องเข้าใจเราดีเอง…”
“ผมอยากให้ทุกคนในโลกนี้
มีความคิดอย่างเดียวกับคุณ โลกของเราคงจะน่าอยู่ขึ้นมากไม่น้อยเลยทีเดียว”
“คุณต้นกำลังไม่สบายใจ
บางทีถ้าหากได้เห็นอะไรที่สดใสสวยงามอาจจะช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง…ตามวนามาซิคะ”
หล่อนลุกขึ้นจูงมือเขาให้ลุกเดินตามไปที่เตียงนอนชายหนุ่มมองดูการกระทำของนางไม้สาวอย่างรู้สึกงุนงง
“คุณ….คุณจะทำอะไรหรือครับคุณวนา?”
“เอาเถอะน่า….นั่งลงซิคะคุณต้นแล้วหลับตาเสีย!”
เขายังคงยืนลังเลใจ
จนวนาต้องกดไหล่ของเขาเบา ๆ ให้เขานั่งลงบนเตียงนอน
ชายหนุ่มรู้ดีว่านางไม้สาวคงไม่คิดทำอะไรที่เป็นอกุศลอย่างแน่นอน
จึงหลับตาลงทำตามที่หล่อนบอกอย่างว่าง่าย
“อย่าเพิ่งลืมตาขึ้นมา
จนกว่าวนาจะบอกนะคะคุณต้น!”
เสียงของหล่อนกำชับ
เขาพยักหน้าแสดงอาการรับรู้แทนคำพูด แล้วนั่งตัวตรงหลับตานิ่ง อยากรู้เหมือนกันว่า
หล่อนกำลังคิดที่จะทำอะไร
นิ่งอยู่สักครู่ใหญ่ๆ
ต้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มีแต่ความเงียบเท่านั้น
ต่อมาเขาจึงเริ่มรู้สึกเหมือนมีกระแสลมเย็นโบกโชยมากระทบถูกตัวของเขา
พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ นุ่มนวลของดอกไม้ป่า
เช่นเดียวกับกลิ่นอายจากกายของนางไม้สาว
เสียงนกร้องขับขานอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
ดังแว่วมาเข้าหู ทำให้ต้นรู้สึกสงสัยเต็มที่ว่ามันอะไรกันแน่
“ผมลืมตาได้หรือยังล่ะครับคุณวนา?”
“ได้แล้วค่ะคุณต้น….ลืมตาขึ้นมาซิคะ”
เสียงนางไม้สาวบอก
เหมือนกระซิบอยู่ข้างหูชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา แล้วก็ต้องพบกับความแปลกใจ
สิ่งที่เขาเห็นอยู่โดยรอบ
หาใช่ห้องนอนของเขาไม่แต่เป็นป่าเขาลำเนาไพร
ที่มีทิวทัศน์อันงดงามจนสุดที่จะบรรยาย
เขากำลังนั่งอยู่บนเตียงตัวเดิมมีวนานั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้
ๆ แต่เวลานี้เตียงนอนกลับมาตั้งอยู่บนไหล่เขา
ซึ่งแวดล้อมไปด้วยต้นไม้สักทองสูงตระหง่าน
เบื้องหน้าของเขาเป็นทุ่งกาสะลอง
ซึ่งกำลังออกดอกสีเหลืองสดใส บานสะพรั่งลดหลั่นลงไปตามไหล่เขาจนแลดูละลานตาไปหมด
กลางทุ่งกาสะลองสีเหลืองสดเป็นลำธารเล็ก
ๆ ซึ่งทอดตัวคดเคี้ยวไปตามแนวเชิงเขา
น้ำในลำธารสะอาดและเห็นโขดหินและก้อนกรวดกระจัดกระจายอยู่ตลอดแนวลำธาร
ไกลออกไป
เป็นทิวเขาซึ่งถอดตัวยาวสลับซับซ้อนไปจนสุดขอบฟ้ากว้าง บางแห่งมีปุยเมฆลอยตัวปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา
ช่างเป็นภาพที่สวยสดงดงามตายิ่งนัก
“นี่มันที่ไหนกันนะครับคุณวนา”
“บนดอยแห่งหนึ่ง
ไกลแสนไกลจากห้องพักที่เราอยู่”
“แล้วเรามาที่นี่ได้ยังไงกันล่ะครับ?”
“เตียงตัวนี้พาเรามา วนาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน”
หล่อนก้าวลงจากเตียงชี้ให้ดูตอไม้ผุ ๆ
ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสองสามคนโอบ “ที่ตรงนั้นเคยมีต้นสักทองต้นใหญ่และสวยงามที่สุดในกลุ่มสักทองนี้
แต่น่าเสียดาย ที่มันถูกโค่นจนกลายมาเป็นเตียงตัวนี้เสียแล้ว….”
“สักทองต้นนั้นก็คงจะเป็นต้นไม้ที่คุณวนาเคยสิงสถิตอยู่มาก่อน?”
“ถูกแล้วค่ะ….มันมีอายุเกือบจะครบห้าร้อยปีแล้วถ้าไม่ถูกคนแอบโค่นไปเสียก่อน….วนาอยู่กับมันมาตั้งแต่ยังเป็นต้นเล็ก ๆ มันเปรียบเสมือนกับเป็นบ้านของวนา”
“หมายความว่า….คุณวนาอยู่ในป่าแห่งนี้มาเกือบจะครบห้าร้อยปีแล้วซิครับ?”
“ค่ะ”
หล่อนพยักหน้ารับ
ท่าทางดูซึมเศร้าลงไป เมื่อพูดถึงต้นไม้ที่เคยอาศัยอยู่
“แล้วทำไมคุณถึงยอมให้คนมาโค่นมันล่ะครับ?”
“วันนี้วนาไม่อยู่
เทพเทพารักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งป่าเรียกประชุมเหล่ารุกขเทวดาบนยอดเขา
พอกลับมาถึงก็เห็นต้นไม้ถูกโค่นล้มลงมา และถูกเลื่อยเป็นท่อน ๆ เสียแล้ว วนาจึงต้องตามคนตัดไม้ไป
ไม้ส่วนหนึ่งพวกเขานำมาทำเป็นเตียงตัวนี้”
“ดังนั้นคุณถึงได้สิงอยู่ที่เตียงตัวนี้แทนตั้งแต่นั้นมา”
ชายหนุ่มพูดดักคอ
“ค่ะ….ถ้าไม่มีคนมาตัด ป่านนี้วนาคงจะยังมีความสุขสบายอยู่ที่นี่”
นางไม้สาวหันมองไปรอบ ๆ
ด้วยสีหน้าเศร้า ๆ คล้ายกับกำลังรำลึกถึงความหลัง
เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในป่าแห่งนี้
“ที่นี่สวยมากเลยนะ
ช่วยพาผมไปชมรอบ ๆ หน่อยซิครับคุณวนา”
เห็นท่าทางของหล่อนแล้ว
ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องพูด เพื่อหันเหความสนใจจากนางไม้สาว มิให้ต้องเกิดความไม่สบายใจ
ทั้งคู่พากันเดินลงจากไหล่เขาไปสู่ทุ่งกาสะลอง
ซึ่งบานสะพรั่งละลานตาอยู่เต็มเชิงเขานั้น
**********
หลังจากขับรพาแม่กลับไปส่งที่บ้าน
และนั่งปลอบใจคุณนายลิ้นจี่อยู่สักครู่ใหญ่ ปื๊ดจึงขอตัวกลับก่อน
เพราะจะต้องเตรียมตัวไปเล่นดนตรีที่ห้องอาหารในตอนกลางคืน
เด็กหนุ่มควบมอเตอร์ไซค์คันโปรดมาตามถนนด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะสู้จะสบายใจนัก
ในสมองของเขาครุ่นคิดแต่เรื่องอรอนงค์ หญิงสาวทำให้แม่ของเขาต้องหลั่งน้ำตาเป็นวรรคเป็นเวร
หญิงคนนี้เป็นอันตรายต่อครอบครัวของเขาอย่างมาก
เพราะพ่อกำลังหลงหล่อนอย่างไม่ยอมลืมหูลืมตา หล่อนอาจจะทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยก
หรือไม่เช่นนั้น กิจการอาจสั่นคลอนเพราะการผลาญเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายของพ่อ
เพื่อปรนเปรอผู้หญิงอย่างอรอนงค์
เขาเพิ่งรู้ความจริงจากแม่
และเห็นมากับตาแล้วว่าพ่อของเขาได้ทุ่มเททรัพย์สินเงินทองให้กับผู้หญิงคนนี้ไปไม่ใช่น้อย
เพาะรถเก๋งและห้องหรูในคอนโดมิเนียมน่าจะปาเข้าไปเกือบสี่ล้านบาทแล้ว
และพ่อคงจะรักหล่อนมาก
ทุกอย่างที่ซื้อให้จึงเป็นของอรอนงค์หมด
นี่แหละที่เป็นสาเหตุทำให้แม่
และเขาเกิดความคับแค้นใจ
เด็กหนุ่มคิดว่า
เขาจำเป็นที่จะต้องยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้ไข
เขาจะต้องหาวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้พ่อเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ให้ได้
แต่สมองของปื๊ดก็ยังคงมืดแปดด้าน
ไม่รู้ว่าจะจัดการกับหล่อนได้ด้วยวิธีใด
ต้นปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขา
ชายหนุ่มคนนี้รู้จักกับอรอนงค์ อาจจะพอมีทางช่วยเขาได้ในเรื่องนี้
คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงบิดคันเร่งอย่างเต็มที่
ตรงดิ่งกลับอพาร์ตเม้นท์เพื่อจะไปขอคำปรึกษาแนะนำจากต้น
เมื่อบังคับมอเตอร์ไซค์คันโปรดเข้าสู่ประตูรั้วอพาร์ตเม้นท์
เป็นเวลาที่ดวงตะวันกำลังจะโพล้เพล้ป่านนี้ต้นคงจะกลับมาถึงห้องพักแล้ว
เด็กหนุ่มจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ใต้ถุน แล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน
มาถึงหน้าห้องพักของต้น
เด็กหนุ่มซึ่งอุดมไปด้วยไขมัน ยืนพักให้หายเหนื่อยสักครู่หนึ่ง
เพราะต้องวิ่งขึ้นบันไดมาถึงสามชั้น จากนั้นจึงยกมือขึ้นเคาะประตู
“พี่ต้นครับ….คุณวนา พี่ต้นกลับมาหรือยังครับ?”
ยังคงเงียบเหมือนเดิม แสดงว่าต้นอาจจะยังไม่กลับมา ปื๊ดทำท่าจะเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง
แต่กลับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
ถึงต้นจะยังไม่กลับ
วนาก็น่าจะอยู่ในห้องนี่นา
ตั้งแต่ชายหนุ่มแนะนำให้รู้จักกับนางไม้สาว
และได้เห็นความมีอัธยาศัยไมตรี ปื๊ดจึงเลิกกลัวหล่อนอีกต่อไปแล้ว
เขาคิดว่าน่าจะฝากถ้อยคำกับวนาเอาไว้
หากต้นกลับมาเมื่อไหร่ ให้ช่วยบอกด้วยว่าเขามีเรื่องอยากจะปรึกษา
ตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูเรียกอีกครั้งหนึ่ง
“คุณวนาครับ…คุณวนา
นี่ผมปื๊ดนะครับ…ช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อยเถอะครับ”
ในห้องยังคงเงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบหรือการเคลื่อนไหวใด ๆ บังเกิดขึ้น ปื๊ดขมวดคิ้วอย่างสงสัยแล้วลองจับลูกบิดประตูขยับดู
มันขยับไปตามแรงบิดของเขา
แสดงว่าประตูห้องไม่ได้ล็อค หรือไม่อาจจะเป็นวนาที่ได้ยินเสียงเขาเรียก จึงช่วยคลายล็อคกลอนประตูเอาไว้ให้แล้ว
เด็กหนุ่มถือวิสาสะค่อย
ๆ เปิดประตูแง้มออกไปชะโงกหน้าเข้าไปดู
“หว๋า…อะไรกันนี่?”
เขาอุทานออกมาอย่างตกอกตกใจแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง
หลังประตูบานนี้
แทนที่จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ กลับกลายเป็นดงไม้อันกว้างใหญ่ไพศาลปื๊ดลองยกมือขึ้นขยี้ตาสองสามครั้ง
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามันยังคงเหมือนเดิม
มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ยืนยันว่านี่เป็นห้องของต้นนั่นคือเตียงไม้สักขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่กลางทิวไม้อันหนาทึบ
ทุกอย่างที่เห็นอยู่นี้
จะต้องเกิดจากอำนาจของนางไม้สาวอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มทำใจกล้า ก้าวเข้าไปที่เตียงนอนตัวนั้น
พร้อมกับร้องเรียก
คุณวนาครับ…คุณวนา! !”
ไม่มีเสียงตอบ แต่ปื๊ดคิดว่าหล่อนจะต้องอยู่แถวนี้แน่ ยืนเหลียวมองไปรอบ ๆ
เห็นเบื้องหน้าของเขาเป็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองสด น่าตื่นตาตื่นใจ
อดไม่ได้ที่จะก้าวออกจากดงไม้ยืนดูอย่างชื่นชม
อา……ที่นี่ช่างสวยสดงดงามประหนึ่งสวนสวรรค์ทั้งทิวเขาและแมกไม้ที่ปรากฏให้เห็น
ล้วนงามวิจิตรตระการตา ดึงดูดให้เด็กหนุ่มเกิดความหลงใหล
ก้าวเดินชมเพลินไปอย่างไม่รู้สึกตัว
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม
เมื่อดวงตะวันกำลังลอยต่ำใกล้จะลับขอบฟ้า
ต้นกำลังนั่งเอนหลังพิงโขดหินดื่มด้ำกับธรรมชาติอันสวยงาม
มีนางไม้สาวนั่งเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง
“รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างหรือยังคะคุณต้น?”
“ครับ…..คุณวนา ที่นี่สวยงามจริง ๆ อากาศปลอดโปร่งเห็นแล้วรู้สึกสดชิ่นสบายใจมากเลยครับ”
“วนาดีใจค่ะที่คุณต้นชอบ…….ถ้าอยากมาที่นี่อีกเมื่อไหร่บอกได้ทันทีเลยนะคะ
วนายินดีบริการรับใช้อย่างเต็มที่ค่ะ”
“ผมก็รู้สึกดีใจที่โชคดีมีเพื่อนเป็นนางไม้อย่างคุณวนา
ทำให้ได้มีโอกาสมาทัศนาจรฟรี ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และค่ารถค่ารา” เขาหันมาพูดกระเซ้าหล่อน
“คุณต้นเป็นคนดี
ทำให้วนาไม่ต้องคอยรบรากับคนที่มาเช่าห้องอยู่นับว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อวนามาก ถ้ามีสิ่งใดที่สามารถทำเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณได้วนาจึงเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ”
“โปรดอย่าได้คิดว่าที่ผมทำไปนั้นเป็นคุณอะไรต่อกันเลยครับ
เรียกว่าเป็นการพึ่งพาอาศัยกันจะดีกว่า ถ้าคุณวนาไม่ยอมให้ผมอยู่ด้วย
ผมก็จำเป็นที่จะต้องย้ายออกไปจากห้องนั้น
และถูกริบเงินค่ามัดจำล่วงหน้าไม่มีปัญญาไปหาที่อยู่ใหม่แน่….”
“วนาไม่มีทางไล่คุณต้นได้สำเร็จหรอกค่ะ เพราะคุณต้นไม่มีความกลัววนาเลยนี่
จริงมั้ยคะ?”
“ผมจะไปกลัวคุณวนาได้ยังไง ในเมื่อคุณวนาไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวอะไรเลยสักนิด
ตรงกันข้าม คุณวนาทั้งสวยแล้วก็น่ารักมากจริง ๆ”
ถูกชมเข้าซึ่ง ๆ หน้า นางไม้สาวหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที
รู้สึกมีความประหม่าเขินอายอย่างน่าประหลาดหล่อนแกล้งทำเมินทอดสายตาไปยังทิวเขาลิบ
ๆ เบื้องหน้า
“คุณต้นท่าจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว วนาไม่ใช่มนุษย์จะไปน่ารักได้ยังไงกันคะ?”
“ถึงจะไม่ใช่มนุษย์ แต่คุณมีคุณงามความดีน่ารักกว่ามนุษย์อีกตั้งมากมายหลายคน
ที่มีแต่ความเห็นแก่ได้….” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูจริงจัง
เหมือนสิ่งที่เขากำลังพูดนั้นมันออกมาจากใจของเขา “มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ผมอยากจะสารภาพกับคุณ….หากว่าคุณเป็นมนุษย์ และผมได้มีโอกาสได้รู้จักคุณก่อนหน้าคุณแตน
ผมคงต้องเกิดหลงรักคุณขึ้นมาแน่…คุณวนา!”
“เพราะอะไรหรือคะ?”
วนาย้อนถาม ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ แต่หล่อนยังอยากรู้
“ไม่รู้เหมือนกันซิครับ….คุณเหมือนกับผู้หญิงในความฝันของผมซึ่งมีความงามพร้อมทั้งกาย และใจ ที่ผมใฝ่ฝันหามาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว
แต่ยังไม่เคยได้พบเจอเลย”
นางไม้สาวยอมรับว่า
หล่อนชักจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย
อาจเพราะบรรยากาศเป็นใจ หรือความจริงแล้วหล่อนก็เกิดความพึงใจในตัวของเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“กลับกันดีกว่าค่ะ อีกสักครู่จะมืดค่ำแล้ว…”
หล่อนตัดบทเพื่อไม่ให้คิดกระเจิดกระเจิงมากไปกว่านี้
แล้วชวนชายหนุ่มลงจากโขดหิน เดินกลับไปที่เตียงนอน
“นั่งลงแล้วหลับตาเสียนะคะคุณต้น…”
เขาทำตามที่หล่อนบอก นั่งลงบนเตียงหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ฉับพลันดูเหมือนหูจะแว่วได้ยินเสียงปื๊ดร้องเรียกดังมาแต่ไกล
ชายหนุ่มรีบลืมตาขึ้นมาทันที !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น