โดย...เจิด
จินตนา
23. . .
ภาพที่เขาเห็นเป็นแสงสว่างจ้า
จนพร่าตาไปหมด
ต้นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอันไร้ขอบเขต แล้วแสงนั่นกลับพลันหายไป ภาพที่ปรากฏต่อมาคือห้องพักของเขานั่นเอง
ชายหนุ่มรู้สึกอัศจรรย์ใจ
ในการเดินทางจากสถานที่หนี่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งของเตียงนางไม้นี้ยิ่งนัก
จนถึงกับนั่งตะลึงไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“ดูเหมือนผมจะได้ยินเสียงปื๊ดเรียก”
เขาบอกกับนางไม้สาว ที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
แล้วหันมองไปรอบห้อง “นั่นยังไงประตูเปิดอยู่
ปื้ดต้องเข้ามาในห้องนี้แน่ !”
วนาก้าวลงจากเตียงเดินดูรอบ ๆ ห้อง
“ไม่เห็นมีนี่คะ…คุณต้นอาจจะหูฝาดไปล่ะมั้ง?”
“ไม่ใช่นะครับคุณวนา รู้สึกว่าผมจะได้ยินเสียงเรียกดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ
แล้วตอนที่เข้ามาในห้อง ผมเป็นคนปิดประตูกับมือเอง”
“หรือว่าคุณปื๊ดจะเข้ามาตอนที่เราไม่ได้อยู่ในห้องนี้?” นางไม้สาวชักจะไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นคุณปื๊ดคงต้องติดอยู่ในป่าสักนั่นแน่
เรากลับไปดูดีมั้ยคะ”
“ผมจะลองไปดูที่ห้องของปื๊ดก่อน”
ชายหนุ่มรีบพรวดพราดออกจากห้องไป
**********
ความมืดโรยตัวเข้ามา
ทัศนีย์ภาพของป่าอันงดงามเมื่อยามที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง
กลับแปรเปลี่ยนเป็นอ้างว้างและน่ากลัว รอบตัวของปื๊ดเกือบจะมืดสนิท
มีเพียงแสงสลัวของดวงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้าเท่านั้นที่ทำให้พอเห็นอะไรได้เลือนราง
เด็กหนุ่มกำลังมุ่งหน้ากลับสู้ดงสักบนเนินเขา
ซึ่งจำได้ว่าเป็นจุดที่เตียงตั้งอยู่ เมื่อเขาเหยียบย่างเข้ามาในห้องของต้น
แล้วเห็นภาพห้องของชายหนุ่มกลายมาเป็นป่าแบบนี้
ในดงต้นสักมีแต่ความว่างเปล่า
ไม่มีเตียงปรากฏให้เห็นอยู่อีกแล้ว เด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์เดินหาไปรอบ
ๆแล้วเริ่มรู้สึกใจหายวาบ
ประตูห้องของต้นไม่มีให้เห็น
นี่หมายความว่าเขาจะต้องหลงอยู่ในป่าแห่งนี้เสียแล้วหรือ
“พี่ต้น….พี่ต้นครับ!”
ลองเรียกดูอีกครั้ง ไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด แสดงว่าไม่มีใครอยู่แล้วจริง
ๆ ถ้าอย่างนั้นเขาจะกลับได้อย่างไงกันล่ะ
ป่าแห่งนี้เป็นที่ไหนก็ไม่รู้เสียด้วยซิ…
นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่น่าเซ่อซ่าเดินเข้ามาหาเรื่องเลย
เพราะได้ความอยากรู้อยากเห็นนี่ทีเดียว ถึงทำให้ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ต้นกับวนาจะรู้หรือเปล่านะ
ว่าเขาแอบตามเข้ามาถ้าเกิดไม่มีใครรู้ล่ะ เขามิต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยหรือ
นึกแล้วชักขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
ความกลัวเริ่มจู่โจมเข้าจับขั้วหัวใจ การที่ต้องอยู่ในป่าคนเดียวมืด ๆ
อย่างนี้อันตรายย่อมมีอยู่รอบด้าน
หากไปเจอเอาสัตว์ร้ายเข้ามีหวังต้องกลายเป็นเหยื่อของมันอย่างแน่นอน
คนอ้วน
ๆ อย่างเขาเป็นอาหารอันโอชะของพวกมันเสียด้วยซิ
เด็กหนุ่มตัดสินใจ
ยังไงขอไปตายเอาดาบหน้า จะมามัวงอมืองอเท้าอยู่ไม่ได้
อาจจะมีหมู่บ้านอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ต้องลองเดินเดาสุ่มไปค้นหาดู
แล้วขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
ปื๊ดเดินลงจากเนินเขาอีกครั้ง
ย่ำผ่านเข้าไปในทุ่งกาสะลอง ซึ่งในยามนี้ความมืดบดบังความสวยงามของดอกไม้สีเหลืองเหล่านี้ลงจนหมดสิ้น
และเขาไม่มีกะจิตกะใจที่จะมาชื่นชมกับความงามของมันด้วยเช่นเดียวกัน
คิดอยู่อย่างเดียว
ต้องหาทางเอาตัวรอด สองขาพาก้าวเดินมาจนถึงริมลำธาร ก้มลงวักน้ำขึ้นลูบหน้าลูบตาให้พอรู้สึกหายเหนื่อย
จากการที่ต้องปีนขึ้นปีนลงบนเนินเขาแห่งนี้
น้ำในลำธารเย็นเฉียบ
ช่วยให้ปื๊ดสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น
เขานั่งลงบนโขดหินแล้วยกชายเสื้อขึ้นซับหยดน้ำบนใบหน้า มองดูสายน้ำที่รืนไหลเอื่อย
ๆสะท้อนกับแสงดาวเป็นประกายระยิบระยับ
ถ้าเดินลัดเลาะไปตามลำธารเรื่อย
ๆ ไม่ช้าคงจะพบหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่แน่
เด็กหนุ่มคิดทำท่าจะลุกขึ้นเดินต่อไป
ทันใดนั้น….เขาต้องหยุดชะงัก
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่า ดังก้องมาจากดงไม้เบื้องหน้า
เสียงนั้นฟังดูน่ากลัวเหลือเกิน ต้องเป็นสัตว์ใหญ่ที่ดุร้ายอย่างแน่นอน
ปื๊ดถึงกับเข่าอ่อนไม่มีเรี่ยวแรงจะก้าวเดินต่อไป
ต้องยืนค้างคาตาเหลือกโพลนอยู่อย่างนั้น
เสียงกิ่งไม้หักโผงผาง
และเสียงฝีเท้าดังสวบสาบใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มจ้องเขม็งไปที่พุ่มไม้ แล้วเขาจึงได้เห็นหมีควายตัวขนาดมหึมา
กำลังแหวกพุ่มไม้ออกมาเผชิญหน้ากับเขา
มันลุกขึ้นยืนตัวสองขา
ร้องขู่คำรามอย่างดุร้ายเมื่อเห็นมนุษย์อยู่ตรงหน้า ลำตัวของมันสูงเกือบ
ๆสองเมตรเห็นจะได้ ขนยาวดำมะเมื่อม อ้าปากเห็นเขี้ยวแหลมคมน่ากลัว
“เหวอ….ช่วยด้วย!”
ช่วยด้วย!”
ปื๊ดร้องเสียงหลง รีบหันหลังโกยอ้าวเต็มเหยียดด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด
ไม่รู้เหมือนกันว่า
เจ้าหมีควายตัวนี้มันมีความโกรธแค้นอะไรกันนักกันหนา พอเห็นปื๊ดออกวิ่ง มันรีบกระโจนพรวดไล่กวดตามไปทันที
พร้อมกับร้องคำรามเพื่อเป็นการข่มขวัญ ผู้ที่มันคิดว่าเป็นศัตรู
เด็กหนุ่มหันกลับมามอง
เห็นหมีควายตัวใหญ่วิ่งไล่ตามมาด้วยท่าทางประสงค์ร้าย
ยิ่งทำให้รู้สึกใจฝ่อลนลานหลับหูหลับตาวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“ช่วยด้วย….ช่วยด้วย
! !”
ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนั้น เท้าของปื๊ดบังเอิญไปสะดุดเอารากไม้เข้าอย่างจัง
จนล้มกลิ้งลงไปบนดงกาสะลองอย่างไม่เป็นท่า
เด็กหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น
แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว เจ้าหมีควายกระโจนพรวดเข้ามายืนคร่อมร่างของเขาเอาไว้
มันเงื้ออุ้งเท้าหน้าขึ้น กางเล็บอันแหลมคมหมายจะตะปบร่างของเหยื่อให้แหลกเป็นชิ้น
ๆ
ปื๊ดตาเหลือกถลน
สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือ นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้ว ทว่า….
“หยุดนะ!”
เสียงใส ๆ ร้องตวาดดังมา ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายชะงักพรืด
หันมองไปยังที่มาของเสียงนั้น
ร่างของวนากำลังลอยละลิ่วมาเหนือยอดไม้
ชุดกระโปรงยาวสีชมพูที่สวมใส่อยู่ ดูคล้ายจะเรืองแสงตัดกับความมืด
ทำให้แลเห็นแต่ไกล
“ช่วยผมด้วย…คุณวนา!”
ปื๊ดรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ รีบร้องบอกอย่างดีใจ
นางไม้สาวทิ้งตัวลงยืนบนพื้นดิน
ไม่ห่างจากปื๊ดและเจ้าหมีควายมากนัก จ้องหาสัตว์ร้ายด้วยสายตาแสดงความไม่พอใจ
“ทำไมถึงทำแบบนี้…เขาไม่ใช่ศัตรูของเจ้า รีบกลับไปเสีย”
หล่อนออกคำสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด เจ้าหมีควายตัวใหญ่ท่าทางเชื่องลงในทันที
มันมองหน้าผู้ที่ออกคำสั่งนิดหนึ่ง
แล้วหันหลังกลับเดินผละจากปื๊ดไปด้วยอาการอันสงบอย่างว่าง่ายจนเหลือเชื่อ
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกโล่งอก
รีบลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามเนื้อตามตัว
“ขอบคุณครับคุณวนา….ถ้าคุณมาช่วยผมไม่ทันผมมีหวังถูกฉีกเนื้อเป็นชิ้น ๆ แน่”
“ความจริงแล้ว หมีควายไม่ใช่สัตว์ดุร้ายอะไรนักหรอกนะ”
“อ้าว ! แล้วทำไมมันถึงตามเล่นงามผม
เหมือนกับจะเอาเป็นเอาตายอย่างงั้นล่ะครับ คุณวนา?
“หมีควายตัวนี้ลูกเมียของมันถูกพวกพรานฆ่าตายเมื่อหลายปีก่อน พอเจอคนมันจะเข้าทำร้าย
เพราะคิดว่าเป็นพวกที่ฆ่าลูกเมียของมันตาย”
“อ๋อ อย่างงี้นี่เอง มันถึงได้ดุนัก พอเห็นผมมันรีบปรี่เข้าใส่โดยไม่พูดพล่ามทำเพลงเลย”
“สัตว์พวกนี้น่าสงสารมาก มันใกล้จะสูญพันธุ์ลงทุกทีแล้ว
เพราะถูกล่าไปเป็นอาหารของมนุษย์ที่ชอบกินอะไรพิสดาร ไม่ช้าคงต้องหมดไปจากป่าอย่างแน่นอน”
“ผมไม่เคยกินดีหมีอุ้งตีนหมี แต่เกือบตายแล้วเพราะมัน
อยากจะให้พวกที่ชอบกินมาเจออย่างผมบ้างจะได้เข็ดเสียที” ปื๊ดพูดเหมือนรู้สึกเดือดดาลแทนหมีถูกฆ่า
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งถูกมันไล่ทำร้ายมาอยู่หยก ๆ “เอ้อ
คุณวนาทำไมรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”
“คุณต้นได้ยินเสียงคุณเรียก ในขณะที่เรากำลังจะเดินทางกลับกัน
เขาออกไปดูที่ห้องไม่เห็นคุณ แต่เห็นรถของคุณจอดอยู่ เชื่อว่าคุณต้องมาที่นี่แน่
เราจึงมาตาม”
“แล้วพี่ต้นล่ะครับ?”
“รออยู่ที่ดงต้นสัก เรารีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวคุณต้นจะเป็นห่วง”
“ดีเหมือนกันครับ ผมอยากไปจากที่นี่เร็ว ๆ เต็มทนแล้ว”
นางไม้สาวยิ้มแล้วเดินนำหน้าเด็กหนุ่มหุ่นสมบูรณ์ตรงไปยังดงต้นสักทองซึ่งแลเห็นอยู่บนเนินเขาไม่ไกลนัก
ต้นยืนรออยู่ที่ข้างเตียงใต้ต้นสัก
พอเห็นปื๊ดเข้าเท่านั้น รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
“เฮ้ ! พี่ต้น
นึกว่าจะไม่ได้มาเห็นหน้ากันอีกแล้วนะเนี่ย”
“ก็นึกอยู่เหมือนกันว่า ปื๊ดจะต้องแอบดอดมาที่นี่…ไปเจออะไรมาล่ะ
หน้าตาดูซีดเซียวเหมือนโดนผีหลอกอย่างงั้นแหละ
อย่าบอกนะว่าโดนผีสางนางไม้ตนนี้หลอกเอา” ต้นแกล้งกระเซ้า
“ใครว่าล่ะ….นางไม้ตนนี้ไปช่วยต่างหาก”
วนาบอกแล้วค้อนต้นเสียหนึ่งวง
“ผมถูกหมีไล่ทำร้ายที่ริมลำธาร
โชคดีที่คุณวนาไปช่วยห้ามมัน
ไม่งั้นป่านนี้มันคงได้กินอุ้งตีนผมเป็นการแก้แค้นแล้ว” ปื๊ดยังรู้สึกเสียวสันหลังไม่หาย
“เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย ทีหลังผมไม่กล้าทะเล่อทะล่าเข้าไปในห้องของพี่ต้นอีกแล้ว
ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอแบบนี้”
“จะยืนคุยกันอีกนานมั้ยคะเนี่ย วนาจะได้ขอกลับก่อน” นางไม้สาวแกล้งถามประชด
“อ้าว ! ได้ไง?”
ทั้งต้นและปื๊ดร้องอุทานออกมาเกือบพร้อมกัน
“อย่าพูดให้ใจเสียหน่อยน่าคุณวนา….ถ้าไม่มีคุณแล้วเราจะกลับกันได้ยังไง?” เด็กหนุ่มมองหน้านางไม้สาวพูดเสียงอ่อย
ต้นดึงแขนปื๊ดมานั่งบนเตียง
“หลับตาลงเสียปื๊ด
แล้วไม่ต้องพูดอะไรอีก ก่อนที่คุณวนาเธอจะเปลี่ยนใจไม่ยอมพาพวกเรากลับไป”
ปื๊ดรีบทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เขานั่งหลับตาไม่กล้ากระดิกกระเดี้ย
แทบจะกลั้นหายใจเอาเสียด้วยซ้ำไปจนกระทั่งได้ยินเสียงวนาร้องบอก
“ลืมตาได้แล้วค่ะ”
สิ่งแรกที่ปื๊ดเห็น
คือโต๊ะเก้าอี้ในห้องของต้นเขารู้สึกดีใจที่ได้เห็นทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
ไม่ใช่กลางป่าอันน่ากลัวแบบนั้นอีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นแล้วหันมายกมือไหว้นางไม้สาว
ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบ
“ขอบพระคุณมากครับ ที่ช่วยผมกลับมาอย่างปลอดภัย…ขอบคุณจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกนะปื๊ด ถ้าอยากจะไปเที่ยวอีกบอกนะ”
“เห็นจะไม่หรอกครับ แค่นี้ผมก็เข็ดจนตายแล้ว”
ต้นลุกจากเตียงเดินมาตบไหล่เด็กหนุ่มเบา ๆ
“ทำใจให้สบายปื๊ด
นึกเสียว่าเป็นการผจญภัยที่ไม่คาดฝันมาก่อน ทีหลังถ้าเห็นห้องนี้มีอะไรผิดปกติก็อย่าได้คิดอย่าเหยียบย่างเข้ามาอีกเป็นอันขาดนะ”
“ครับ…พี่ต้น”
“ว่าแต่ปื๊ดเข้ามาหาพี่ทำไมหรือ”
“คือ…ผมมีเรื่องอยากจะขอคำปรึกษากับพี่ต้นน่ะครับ”
ต้นพยักหน้า จูงมือเด็กหนุ่มไปนั่งลงที่เก้าอี้ในห้องนั่งเล่น
แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ
“ว่ามาซิ…เรื่องอะไร?”
ปื๊ดเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ
ซึ่งเกิดขึ้นที่คอนโดมิเนียมของอรอนงค์ในวันนี้ให้ชายหนุ่มฟังจนหมดสิ้น
เสียงของปื๊ดดังพอสมควร วนาซึ่งนั่งอยู่บนเตียงจึงพลอยได้ยินเรื่องราวทั้งหมดด้วย
แต่หล่อนแค่นั่งฟังเฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแต่อย่างใด
“ผมกลัวว่า อรอนงค์จะเป็นตัวการทำให้ครอบครัวของผมต้องเกิดการแตกแยกล่มจม
ผู้หญิงคนนี้ใช้เสน่ห์มัดเตี่ยผมจนอยู่หมัด ไม่ว่าจะเอาอะไรเตี่ยประเคนให้มันจนหมด
ผมถึงอยากจะขอให้พี่ต้นหาทางช่วยผมก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”
“ปื๊ดจะให้พี่ช่วยยังไง?”
“พี่ต้นรู้จักกับมันดีไม่ใช่หรือครับ ช่วยขอร้องอรอนงค์ให้เลิกมายุ่งเกี่ยวกับเตี่ยผมสักที
จะได้ไหมล่ะครับ ที่มันได้จากเตี่ยของผมไปทุกวันนี้ นับว่ามากโขอยู่แล้ว”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มออดอ้อนน่าเห็นใจ ต้นได้แต่ทอดถอนใจอย่างรู้สึกอึดอัด
อรอนงค์กำลังจะช่วยให้เขาได้สัญญาประกันจากเสี่ยกำชัย
ถ้าหากเขายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยในเรื่องนี้อาจจะทำให้ไม่เป็นที่พอใจของหล่อน
นั่นหมายถึงสัมพันธ์ภาพอันดีระหว่างเขากับหล่อนจะต้องขาดสะบั้นลงไป และโอกาสที่จะได้งานชิ้นนี้มีหวังเป็นอันว่าจบสิ้นลง
แต่ในเมื่อปื๊ด
อุตส่าห์มาขอร้องเขาแบบนี้แล้วหาก เขาจะเพิกเฉยไม่ช่วยอะไรเสียบ้างเลย
ปล่อยให้ครอบครัวของเด็กหนุ่มต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์อันเลวร้าย มันดูกระไรอยู่
ผู้หญิงอย่างอรอนงค์ยังสาวยังสวยและมีเสน่ห์ทั้งเรือนร่าง
อาจจะไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะหาจับเสี่ยคนใหม่ บางทีเขาอาจจะพูดกับหล่อนรู้เรื่องบ้าง
ถึงแม้ว่าเมื่อพูดไปแล้วจะทำให้มองหน้ากันไม่ติด
ระหว่างความเป็นความตายของครอบครัวปื๊ด
กับตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา ช่วยหนุ่มตัดสินใจเลือกที่จะช่วยเหลือปื๊ดมากกว่า
“ตกลงปื๊ด…พี่จะลองหาทางช่วยพูดให้….”
เด็กหนุ่มได้ยินถึงกับยิ้มออกมาอย่างดีใจจน น้ำตาคลอ
**********
บ้านขอหมอฉุยเป็นเรือนแถวไม้ชั้นเดียวยกพื้นใต้ถุนสูง
หลังคามุงสังกะสีอยู่ในซอยแคบ ๆซึ่งสองฟากทางแออัดด้วยบ้านเช่าราคาถูก
ที่ปลูกให้แค่พออาศัยอยู่กันได้ โดยไม่มีการคำนึงถึงสุขลักษณะ
ทั้งซอยจึงเฉอะแฉะและอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำครำ ที่ลอยออกมาจากใต้ถุน
แตนต้องจอดรถทิ้งไว้ที่ปากซอย
แล้วเดินตามหลังโฉมศรีเข้ามาอย่างเสียไม่ได้
สาวใหญ่พาหล่อนมาหยุดยืนอยู่ที่เชิงบันไดไม้เก่า ๆ หน้าบ้าน
แล้วชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างใน
“หมอฉุย ! หมอฉุยอยู่หรือเปล่าจ๊ะ?”
ชายสูงอายุรูปร่างผอมสูง โผล่หน้าออกมามองที่ระเบียง
“ใครน่ะ?”
“ฉันเองจ้ะ..โฉมศรีเจ้าของอพาร์ตเม้นท์ที่เคยมาให้หมอไปช่วยตั้งศาลยังไงล่ะ?”
“อ๋อ…เชิญข้างบนก่อนซิครับ เชิญ!”
เจ้าของบ้านออกปากเชื้อเชิญ โฉมศรีถอดรองเท้าออกแล้วก้าวขึ้นบันไดไป
แตนจึงต้องทำตาม หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดช้า ๆ ทีละขั้น เพราะกลัวมันจะผุพังโครมลงไป
ทำให้ชุดราคาแพงของหล่อนต้องเปรอะเปื้อนน้ำครำ
ถัดจากระเบียงเข้าไปเป็นห้องโล่ง
ๆ ยกพื้นสูงกว่าเล็กน้อย ด้านในสุดมีโต๊ะบูชาซึ่งต่อด้วยไม้อย่างหยาบ ๆ
วางพระพุทธรูปปางต่าง ๆ อยู่ชั้นบนสุดถัดลงมาเป็นรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดังมากมาย
และเทพต่าง ๆ ในลัทธิพราหมณ์ฮินดู
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั้นคือ
หัวกะโหลกมนุษย์วางอยู่บนพานใกล้กระถางธูป อาจจะมีไว้เพื่อให้ดูขลังน่าเชื่อถือขึ้น
ทั้งแจกันดอกไม้และพวงมาลัยที่ห้อยอยู่บนหิ้งบูชา
มีทั้งดอกไม้เก่าและสดใหม่แสดงว่าหมอฉุยต้องมีลูกศิษย์ลูกหาขึ้นไม่ใช่น้อย
“คุณนายมีธุระอะไรกับผมยังงั้นหรือครับ?”
หมอฉุยเอ่ยถามขึ้น
เมื่อเชิญแขกนั่งลงบนเสื่อซึ่งปูอยู่หน้าโต๊ะบูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันอยากจะมาขอรบกวน
วานหมอช่วยไปไล่ผีให้หน่อยน่ะจ้ะ สาวใหญ่บอกอย่างไม่ต้องมีการอ้อมค้อม “ค่ายกครูทั้งหมดเท่าไหร่ คุณคนนี้จะเป็นคนจัดการเอง”
หล่อนชี้มือมาทางแตน หญิงสาวรีบพยักหน้ารับ
“ถูกแล้วค่ะหมอ…เสียเท่าไหร่ฉันไม่ว่า ขอให้จัดการกับอีนังผีร้ายนี้ให้ได้เท่านั้น”
“ผีที่ไหนหรือครับ?”
“ในอพาร์ตเม้นท์คุณโฉมศรีค่ะ”
“อ้อ ! คุณคงจะพักอยู่ที่นั่น?”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ…” โฉมศรีรีบชิงตอบปฏิเสธ “คุณแตนเธอมีคนรักเช่าห้องพักของฉันอยู่
ที่นี้ในห้องนั้นเกิดมีวิญญาณมาสิงสู่อยู่
คอยหลอกหลอนทุกคนที่เข้าไปอยู่ในห้องนั้น คุณแตนเธอขอร้องให้แฟนเธอย้ายออกมา เขาไม่ยอม
เธอกลัวว่าเขาจะถูกผีตนนั้นครอบงำจนเสียผู้เสียคน
จึงมอขอความช่วยเหลือจากหมอนี่แหละจ้ะ”
ชายสูงอายุที่ใคร ๆ เรียกว่าหมอฉุย นั่งฟังวางท่าเคร่งขรึม
“อืมม์…แล้วมีใครเคยเห็นวิญญาณของผีตนนั้นหรือไม่ล่ะ?”
“มีค่ะ….ฉันเองแหละ” แตนบอก “มันเป็นผีผู้หญิง สวย ผมยาว ท่าทางดุร้ายมาก
ฉันเคยโดนมันเล่นงานมาแล้วหลายหน”
“เป็นผีผู้หญิงเหรอ…” หมอฉุยพึมพำ แล้วหันไปถามโฉมศรี
“ในห้องนั้นเคยมีคนตายบ้างหรือเปล่า?”
“ตั้งแต่สร้างอพาร์ตเม้นท์นี้มา ยังไม่เคยมีคนตายเลยนี่จ๊ะหมอ”
“เอ…ถ้าอย่างงั้น แล้วผีตนนี้จะมาจากไหน
จะว่าเป็นผีเจ้าที่เจ้าทาง ไม่น่าจะเฮี้ยนถึงขนาดนี้นี่นา?” หมอฉุยตั้งข้อสงสัย
“เป็นผีนางไม้ค่ะ
มันสิงอยู่ที่เตียงนอนในห้องนั้น”
แตนยืนยัน เพราะต้นเป็นคนบอกกับหล่อนเอง หมอฉุยพยักหน้ารับทราบ
“อ้อ ! อย่างงี้นี่เอง
ถ้าเป็นผีนางไม้จริง ๆ เห็นท่าจะลำบากหน่อยนะ”
“ทำไมหรือคะหมอ?” สาวใหญ่หูผึ่งขึ้นมาทันทียื่นหน้าถามอย่างสนอกสนใจ
“นางไม้น่ะ….เป็นวิญญาณที่มีฤทธิ์เดชมาก
แสดงว่าเวลานี้แฟนของคุณคนนี้ อาจจะถูกมันทำให้หลงเสน่ห์จนโงหัวไม่ขึ้น
นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากเลยทีเดียว”
“แล้วหมอพอจะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้หรือเปล่าล่ะคะ?” แตนถามออกไปตรง
ๆ
“ต้องได้ซิครับ….” หมอฉุยพยักหน้ารับ พร้อมกับชำเลืองมองทองหยอง
เครื่องประดับในตัวของหญิงสาว “ไม่มีอะไรที่คนอย่างหมอฉุยจะทำไม่ได้
แต่ว่า…การจะขับไล่วิญญาณนางไม้นั้น
ต้องมีพิธีกรรมใหญ่ครบเครื่อง ค่ายกครูอาจจะต้องมากหน่อย”
“มากแค่ไหนไม่สำคัญ…ขอให้หมอทำสำเร็จเท่านั้นแหละ”
แตนรีบพูดดักคอด้วยท่าทางอันขึงขัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น