วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

เตียงนางไม้ ตอนที่ 32

โดย...เจิด จินตนา
32...



            “พี่ต้น ไปกับตุ่มหน่อย    ตุ่ม…..ตุ่มมีเรื่องอยากจะพูดด้วย”    หญิงสาวหุ่นเจ้าเนื้อสมบูรณ์ละล่ำละลักบอกตาคอยชำเลืองมองไปที่วนาด้วยอาการหวาดๆ
            “มีอะไรพูดที่นี่ก็ได้นี่นาตุ่ม
            “ไม่เอาล่ะตุ่มกลัว   เหอะน่า….พี่ต้น ไปเหอะ
            ท่าทางดูเหมือนหล่อนจะมีความหวาดกลัวนางไม้สาวเอามากจริงๆ  ดึงไม้ดึงมือจะให้ชายหนุ่มรีบตามหล่อนไปเร็วๆ
            วนาพอจะเข้าใจความรู้สึกเพื่อนสาวคนนี้ของต้นดี   และไม่อยากให้ชายหนุ่มต้องมีความกังวล หล่อนยิ้มให้กับตุ่มอย่างเป็นมิตร  แล้วจึงหันไปบอกต้น
            “ไปเถอะค่ะคุณต้นไม่ต้องเป็นห่วงวนาหรอก
            “รอผมอยู่ที่นี่อย่าไปไหนนะครับคุณวนา”  ชายหนุ่มกำชับด้วยความเป็นห่วง  ก่อนที่จะเดินตามตุ่มไป อย่างเสียไม่ได้
            “เอ้า ! มีอะไรก็รีบพูดมาซิตุ่ม”  ต้นถามเพื่อนสาวในบริเวณแผงหนังสือหลังตลาดนัดสวนจตุจักร  เพระาเห็นว่าเดินออกมาห่างจากวนาพอสมควรแล้ว
            “ตุ่มอยากรู้จริงๆ  คุณวนาน่ะเป็นผีหรือเป็นคนกันแน่? ”
            “ผี”  ชายหนุ่มตอบสั้นๆเพียงคำเดียว
            “ฮ้าถามจริง?
            “ก็จริงน่ะซิ  ตุ่มอยากรู้ไปทำไมกัน?”
            “ไม่ใช่อะไรหรอก….ตุ่มเป็นห่วงพี่ต้นน่ะ  กลัวว่าจะได้รับอันตราย
            “คุณวนาเธอไม่ทำอันตรายใครหรอก  เธอไม่ใช่วิญญาณที่ชั่วร้าย  แต่เป็นเทพธดา  เป็นนางไม้  พี่เคยบอกตุ่มตั้งหลายหนแล้ว
            “ขึ้นชื่อว่าผี  ไว้ใจได้ที่ไหนกันเล่าพี่ต้น  วันนี้เขาอาจจะไม่ทำอะไร  แต่สักวันหนึ่งถ้าเผื่อพี่ต้นเกิดทำให้เขาโกรธขึ้นมา  อาจจะถูกหักคอตาย
            “เหลวไหลน่าตุ่ม  คุณวนาเธอไม่ทำอย่างงั้นแน่วางใจได้
            “แน่ใจเหรอพี่ต้น  ?”
            “อ๋อ ! แน่ซี่…..ไม่มีใครรู้จักเธอดีไปกว่าพี่  เลยพากันเข้าใจในตัวเธอไปอย่างผิดๆ   ที่จริงแล้วคุณวนา เป็นนางไม้ชั้นเทพ   มีจิตใจโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือมนุษย์   ไม่เคยคิดมุ่งร้ายกับใครเลย
            “รู้สึกว่าพี่ต้นจะชื่นชมคุณวนาเอามากๆเลยนะ หรือว่าโดนครอบงำจิตใจเข้าให้แล้ว  ถึงได้เป็นอย่างงี้?”
            “เปล่าหรอกนะตุ่ม  พี่ยังเป็นปกติทุกอย่าง  มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์  ที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริงที่ได้พบเห็นมากับตาตนเอง
            “แล้วทำไมต้องโกหกยัยแตนด้วย   ว่าคุณวนาเป็นแฟนของพี่ต้น
            “เอ้อพี่….พี่ไม่อยากให้เรื่องมันลุกลามใหญ่โตออกไปน่ะ”  ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ  ไม่กล้าบอกความจริงกับตุ่ม
                        ************
            “หยุดนะ!”  เสียงร้องตวาดของวนา  ทำให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นคู่หนึ่งที่กำลังเดินมากันเพลินๆต้องพากันชะงักหันมองหน้ากันเลิ่กลัก
            “คุณพูดกับใครเหรอครับ?”
            “เจ้าสองคนนั่นแหละ”  นางไม้สาวชี้หน้า  ปล่อยลูกชะนีตัวนั้นไปเดี๋ยวนี้ 
            ทั้งคู่ยืนงง  เด็กหนุ่มคนที่มีลูกชะนีตัวเล็กๆเกาะอยู่บนไหล่  เขม้นมองมาที่วนาอย่างสงสัย
            “อ้าว! มันเรื่องอะไรล่ะคุณ  นี่มันลูกชะนีของผมนะ
            “ยังจะมีหน้ามาอ้างอีก  เจ้ามนุษย์ใจบาปพรากลูกพรากแม่รีบส่งมาเสียดีๆ”  
            โดนว่าเข้าแบบนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งสองเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้มาทันที
            “มากไปหน่อยล่ะมั้งคุณ  มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับผม  อย่าซ่าส์ดีกว่า
            “ใช่  อยู่ดีๆก็จะมาตู่เอาของคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ ประสาท...อิโด่เอ๊ย!” 
            อีกคนหนึ่งพูดเสริม  มองนางไม้สาวด้วยท่าทางกวนๆ   เพราะเห็นเป็นผู้หญิงแค่ตัวคนเดียว  คิดว่าหล่อนคงไม่กล้าพอที่จะมามีเรื่องกับพวกตน
            เมื่อพูดกันดีๆไม่ยอมเชื่อฟัง  วนาจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ให้คนพวกนี้เห็น  หล่อนแค่พยักหน้าหนเดียว   ลูกชะนีที่เกาะอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม  ก็ลอยมาสู่อุ้งมือหล่อนอย่างง่ายดาย
            “เฮ้ยอีนี่วอนซะแล้ว  เอาของกูคืนมานะโว้ย!” 
            เจ้าของชะนีตกตะลึง  ด้วยความรู้สึกเสียดายเด็กหนุ่มรีบปราดเข้ามาจะแย่งคืน  วนาขยับถอยหลังไปสองก้าวยกมือขึ้นโบกสะบัด  เด็กหนุ่มคนนั้นผวากระเด็นกลับออกไปในทันที  คล้ายถูกจับเหวี่ยงลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น
            “เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?”  
            เพื่อนที่มาด้วยกันถลันเข้าไปประคองอย่างตกอกตกใจ  นึกไม่ถึง ว่าเหตุการณ์มันจะออกมาในรูปนี้
            “กูก็ไม่รู้!”   คนถูกถามงุนงงสงสัยเหมือนกัน
            “เหมือนมีลมมากระแทกกูเข้าจังเบ้อเร่อเลย  มันยังไงกันวะ?
            “ลมห่าอะไรกันกูว่ามึงน่ะ  ซุ่มซ่ามเองมากกว่า  ลูกขึ้นเหอะเดี๋ยวอีกนั่นมันก็เอาชะนีของมึงไปหรอก
            พยุงเพื่อนให้รีบลุกขึ้น  แล้วพากันก้าวเข้ามาหานางไม้สาวด้วยท่าทางประสงค์ร้าย
            “ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว  รีบคืนชะนีของเพื่อนกูมา!”
            “เชอะพวกเจ้ารู้จักข้าน้อยเกินไปเสียแล้ว”  
            วนายืนปักหลักนิ่งเฉย  อย่างไม่สะทกสะท้านเหมือนเป็นการยั่วยุให้เด็กหนุ่มทั้งสองอารมณ์ฉุนเฉียวเพิ่มมากยิ่งขึ้น
            “อีแบบนี้มันต้องจับตบสั่งสอนซะให้เข็ด...เอาเลยเว้ย!”
            เด็กหนุ่มเจ้าของชะนีพยักหน้าให้กับเพื่อน  เป็นสัญญาณบุกจู่โจมจับนางไม้สาวพร้อมกัน  แล้วทะยานเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
            วนาเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว  เห็นทั้งสองตรงรี่เข้ามา  รีบโบกมือขึ้นครั้งหนึ่ง  ทำให้เกิดเป็นกระแสลมแรง ปะทะร่างเด็กหนุ่มสองคนนั้นกระเด็นหวือกลับออกไป
            “เหวอ  อ  อ  อ !!”  
            เสียงร้องลั่นแทบไม่เป็นภาษามนุษย์  ก่อนที่ร่างจะถลาครูดไปบนพื้นซีเมนต์ เคล็ดขัดยอกถลอกปอกเปิกไปตามๆกัน
            ทั้งคู่ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งมองหน้ากันอย่างลำบากยากเย็น
            “มันมันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย?”
            “อีนี่ไม่ใช่คนธรรมดามันใช้เวทมนต์ทำร้ายเรา”  อีคนหนึ่งออกความเห็น
            “เฮ้ย ! หรือว่ามันเป็นแม่มดวะ?”
            “ข้าไม่ใช่แม่มดนะ…..แต่ข้าเป็นนางไม้ผู้มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองดูแลสรรพสิ่งในป่า”   วนาบอกความจริงให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้รับรู้  แต่ทั้งคู่กลับทำหน้าพิกล
            “สงสัยอีนี่ท่าจะบ้ากูว่าเลิกตอแยกับมันดีกว่า”  เด็กหนุ่มเจ้าของชะนีเลิกล้มความตั้งใจที่จะแย่งชิงลูกชะนีตัวนั้นกลับคืนมา  พยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นจะชวนกันผละจากไป
            “เดี๋ยวก่อน….ยังไปไม่ได้!” 
             นางไม้สาวตวาดห้าม  แต่ทั้งคู่ไม่ยอมฟังเสียงเสียแล้ว  กอดคอกันเดินเขยกๆ ไปอย่างไม่สนใจไยดีหล่อนจึงชี้นิ้วไปที่เด็กหนุ่มเจ้าของลูกชะนี  ทำให้ร่างนั้นลอยวืดเหมือนถูกหิ้วขึ้นไปในอากาศ
            “เฮ้ยเว้ย! อะไรกันนี่ปล่อยกู   ปล่อยกูนะ  !”  
            เสียงร้องลั่นอย่างตกอกตกใจ   พลอยให้เพื่อนที่มาด้วย กันยืนตะลึง  เห็นกำลังลอยดิ้นกระแด่วๆอย่างน่าสงสาร  พยายามจะช่วยยื้อยุดฉุดดึงกลับมา  ทว่าไม่ได้ผล ร่างนั้นกลับลอยละลิ่วไปหาวนา
            “เจ้าคนใจบาปหยาบช้าบอกมาเดี๋ยวนี้ะ  ว่าเจ้าไปขโมยลูกชะนีมาจากไหน
            “ผมผมไม่ได้ขโมยมา”  เด็กหนุ่มตาเหลือกลาน   เกิดความหวาดกลัวสุดขีด  เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้เองจริงๆ สาบานให้ก็ได้!”
            “เจ้าซื้อมันมาหรือ  ?”  คิ้วของวนาขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย  บอกข้ามาซิ  เจ้าซื้อมันมาจากที่ไหน?”
            “ก็….ก็ในตลาดนัดขายสัตว์เลี้ยงนั่นยังไง  จะมีที่ไหนอีกล่ะ” 
             เด็กหนุ่มละล่ำละลักบอก  พร้อมกับชี้มือเข้าไปในตลาดนัด  วนาเหลียวมองตามไป  หล่อนเพิ่มจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าในตลาดแห่งนี้มีการนำสัตว์ป่ามาขายด้วย
            ลูกชะนีตัวเล็กๆขนาดนี้  จะเกาะติดแจกับแม่ของมันอยู่ตลอดเวลา  มีอยู่วิธีเดียวที่จะเอาตัวมันมาได้นั่นคือต้องฆ่าแม่ของมันเสียก่อน
            นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าความเห็นแก่ได้ทำให้มนุษย์มีจิตใจโหดเหี้ยมขนาดนี้
            “ปล่อยผมไปเถอะได้โปรด   ผมผมไม่ได้ทำผิดอะไร!”  
            เสียงเด็กหนุ่มดวงซวย  ร้องคร่ำครวญน่าเวทนา วนาจึงโบกมือขึ้นครั้งหนึ่ง  ทำให้ร่างนั้นหล่นลงมาสู่พื้น
            “เจ้าไปได้แล้วแต่จงจำเอาไว้  อย่าได้คิดซื้อสัตว์ป่ามาเลี้ยงอีก  เพราะเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้มีการ  ทำลายชีวิตพวกมัน  ไม่ช้าหรอกสัตว์ป่าก็จะต้องสูญพันธุ์ไปหมดแน่!”
                        ************
            "พี่ต้นทำแบบนี้ยัยแตนก็เสียใจแย่น่ะซิ" ตุ่มตัดพ้อต่อว่าชายหนุ่ม ผิดถูกยังไงหลอนก็ต้องเข้าข้างเพื่อนของหล่อนอยู่ดี "ยับแตนน่ะรักพี่ต้นมากที่ให้หมอฉุยมาทำพิธีขับไล่ผี เพราะหวังดีกับพี่ต้นหรอกนะ"
            "แต่มันทำให้คุณวนาเดือดร้อน พี่จึงจำเป็นต้องปกป้องเธอเอาไว้" ต้นเถียง
            "ตุ่มไม่เข้าใจพี่ต้นเลยจริงๆ ทำไมถึงต้องคอบเข้าข้างคุณวนา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์เป็นผีสางนางไม้ น่ากลัวออกอย่างนั้น....พิลึกคนจริง"
            "อาจเป็นเพราะผมกับคุณวนามีความเข้าใจกันดี...เธอไม่ได้ดุร้ายหรือน่ากลัวอย่างที่ใครๆเขาคิดกัน ตรงกันข้าม เธอมีความน่ารักอ่อนหวานใจดีต่อทุกคนที่เป็นมิตรกับเธอ ไม่เชื่อตุ่มลองถามคุณปื๊ดดูก็ได้"
            "ไม่จริงล่ะมั้ง...ตุ่มกับยัยแตนน่ะเคยโดนหลอกเสียจนขนลุกขนพองกันมาแล้ว พี่ต้นไม่รู้อะไร"
            "ทำไมจะไม่รู้ คุณวนาเล่าให้พี่ฟังหมดแล้วล่ะ เป็นเพราะคุณแตนไปหาเรื่องกับเธอก่อน เธอถึงได้ต้องป้องกันตัวเอง แต่ก็แค่ขู่เท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายอะไรตุ่มกับแตนไม่ใช่เหรอ ?"
             หญิงสาวนิ่งอึ้งไม่ตอบ ลองคิดดูก็เป็นจริงอย่างที่ชายหนุ่มพูด ทุกครั้งที่มีการปะทะกับวนา แตนมักจะเป็นฝ่ายลงมือก่อนเสมอ ด้วยความเป็นคนถือดี เอาแต่ใจตนเองไม่ยอมใครง่ายๆ จึงได้เกิดเรื่องผิดใจกันขึ้นมาถึงขนาดนี้
            “เชื่อพี่เถอะตุ่ม  คุณวนาเธอไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครจริงๆ นอกจากคนๆ นั้นจะคิดร้ายต่อเธอ”   ต้นพยายามที่จะอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ    แต่ถึงยังไงคุณวนาก็ไม่เคยทำอะไรรุนแรงถึงขั้นจะเอาชีวิตใคร  พี่อยากให้ตุ่มได้ลองรู้จักพูดคุยกับเธอดูบ้าง  จะได้เข้าใจในตัวเธอเสียใหม่
            “เห็นจะไม่เอาด้วยล่ะ….”   ตุ่มสั่นหน้าดิก  ให้ตุ่มไปพูดกับผีน่ะเหรอะ  ตุ่มยิ่งกลัวๆอยู่ด้วย!”
            “มีพี่อยู่ทั้งคน  ไม่เป็นไรหรอกน่า”   เขาคะยั้นคะยอ  ถ้าตุ่มได้พูดคุยกับคุณวนาสักครั้ง  จะได้รู้ว่าเธอน่ะน่ารักจริงหรือเปล่า  คุณวนาเองเธออยากรู้จักกับตุ่มอยู่เหมือนกัน
            “มันจะดีเหรอพี่ต้น”   ตุ่มยังสองจิตสองใจ  กล้าๆ  กลัวๆ  อยู่ 
                        ************
            ในบริเวณตลาดนัดขายปลาตู้สวยงามและสัตว์เลี้ยงเป็นจุดที่นับว่าดึงดูดความสนใจได้มากแห่งหนึ่ง เพราะเต็มไปด้วยสิ่งสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ
            ตู้ปลาหลากชนิดทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม  เรียงรายกันเป็นตับยาวเหยียดตลอดสองข้างทางเดิน  แทรกด้วยกรงสุนัขพันธุ์ต่างๆ  ซึ่งเป็นจุดเด่นของย่านนี้
            แต่สิ่งที่เป็นจุดสนใจของวนานั่นคือกรงสัตว์ป่าต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์สี่เท้าหรือสัตว์ปีกที่มีอยู่มากมายหลายร้านด้วยกัน  ในบริเวณใกล้เคียง
            นางไม้สาวเดินมองสำรวจไปช้า  มีลูกชะนีตัวเล็กๆ  นั่งตาแป๋วเกาะอยู่บนไหล่ของหล่อน           
             สัตว์ป่าที่เห็นส่วนมากมีอาการเศร้าซึม  เพราะต้องถูกจับขังอยู่ในกรงแคบๆ  เป็นที่น่าเวทนาสงสารยิ่งนัก
            “แถวนี้ใช่ไหม  ที่เจ้าถูกนำมาขาย?”  
            วนาส่งกระแสจิตถามกับลูกชะนี  มันพยักหน้ารับเกาะไหล่แจตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว  เมื่อต้องกลับมาเห็นสถานที่  ซึ่งถูกพรากจากอกแม่มาคุมขังไว้อีกครั้งหนึ่ง
            “เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะอยู่กับข้าไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าได้”  
            พูดปลอบใจพร้อมกับลูบตัวมันเบาๆ มนุษย์ใจร้ายพวกนี้จะต้องได้รับกรรมที่ทำกับเจ้าไว้  จ้าจะสั่งสองให้พวกเขาได้รู้สำนึกเสียบ้าง
            นกน้อยตัวเล็กๆ  ขนสีสวยสะดุดตา   ยืนเกาะคอนคอตกในกรงทองเหลือซึ่งแขวนไว้
เหนือกรงกระรอกฝูงใหญ่แม้กรงใบนี้จะดูสวยงามน่าอยู่  แต่ท่าทางของมันกลับไม่มีความสุขเอาเสียเลย  วนาเดินเข้าไปชะโงกหน้ามองดูใกล้ๆเห็นมันทำตาปริบๆ คล้ายกับกำลังร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ
            “เป็นอะไรไปหรือเจ้านกน้อย  ?”   หล่อนถามไถ่มันทางกระแสจิต
            เจ้านกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าให้ฟังว่า  มันอาศัยอยู่ในป่ากับคู่ของมัน  ซึ่งกำลังมีลูกตัวน้อยๆน่าเอ็นดู  ขณะที่กำลังช่วยกันหาอาหารไปป้อนลูก  มันก็ถูกนายพรานดักจับเอาตัวมา  และคงสิ้นหวังที่จะได้กลับไป เห็นหน้าลูกเมียของมันอีกแล้ว  ด้วยเหตุนี้มันจึงได้เศร้าโศกเสียใจ  เพราะความคิดถึงและเป็นห่วงลูกเมีย  มันไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องรังแกมันด้วย    พรากมันมาจากครอบครัว  เอามันมากักขังไว้ดูเล่น  เพียงเพราะเห็นมีขนสีสวยเท่านั้น
            “ไม่ต้องวิตกหรอกนะเจ้านกน้อย  ข้าจะช่วยปล่อยเจ้ากลับไปหาลูกเมียเอง”   ด้วยความสงสารเจ้านกน้อยเคราะห์ร้าย   วนาจึงเปิดกรงยื่นมือเข้าไป   มาซิ….ออกมาได้แล้ว
            นกน้อยสีสวยท่าทางดีใจ  รีบกระโดดจากคอนมาเกาะที่ฝ่ามือนางไม้สาว
            “นั่นคุณจะทำอะไร  ?”  เจ้าของร้านร้องเสียงหลง  อย่านะคุณ   เดี๋ยวมันก็บินหนีไปหรอก!”
            วนาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงร้องห้ามอย่างตื่นตกใจนั้นหล่อนปล่อยนกให้โผบินขึ้นไปในอากาศ  ก่อนที่จะถูกเจ้าของร้านมาแย่งเอาตัวไป  ไปเลยรีบกลับไปหาลูกเมียของเจ้า
            มันบินไปเกาะอยู่ที่ขื่อหลังคาเต้นท์  ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว  ขอบอกขอบใจนางไม้สาวเป็นการใหญ่  จากนั้นจึงขยับปีกปินปร๋อหายลับไป
            “จะบ้าเหรอคุณ   ปล่อยตัวมันไปทำไม...มันเป็นนกหายาก  ราคาแพงมากด้วย! เจ้าของร้านต่อว่าอย่างไม่พอใจ
            “นกมันต้องการอิสระ  ไม่ชอบถูกกักขังในกรง  ข้าจึงปล่อยมันไป
            “อ๋อใจบุญมันไม่ใช่นกสำหรับปล่อยตามวัดนะคุณ  ราคามันไม่ใช่บาทสองบาท   นกตัวนี้ผมซื้อมาสองพันห้า  แต่เอาเถอะ….ไหนๆคุณก็ปล่อยมันไปแล้ว  ผมคิดคุณในราคาเท่าทุนก็แล้วกัน
              เสียงโต้เถียงกันระหว่างนางไม้สาวกับเจ้าของนกทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาพากันหยุดยืนมองอย่างสนอกสนใจ
            “ว่ายังไงล่ะครับคุณต้องจ่ายผมมาสองพันห้าเป็นค่านกนะครับ!”   เจ้าของนกแบมือเรียกค่าเสียหายจากวนา
            “เจ้าสร้างบาปสร้างกรรมอย่างมหันต์  นำสัตว์มากักขังไว้ให้ได้รับความทุกข์ยากทรมาน  ข้าไม่คิดที่จะเอาเรื่องกับเจ้าด้วยก็นับว่าเป็นบุญโขแล้วนะ
            “อ้าว! ไหงพูดแบบนี้ล่ะคุณ?”  เจ้าของนกชักฉุน  คุณเป็นใครมาจากไหนกัน  ผมค้าขายของผมอยู่ดีๆ  คุณก็มาก่อกวน  ถ้าคุณไม่ยอมชดใช้ค่านกมาผมนี่แหละที่จะเอาเรื่องกับคุณ
            “หน้าที่ของข้าคือ  ให้ความปกป้องคุ้มครองสัตว์ป่าเหล่านี้  ข้าว่าทางที่ดีเจ้าควรรีบปล่อยพวกมันไปเสียให้หมด เวรกรรมที่ทำจะได้ลดน้อยลงไปบ้าง”   หล่อนเตือนด้วยความหวังดี
            “บ้าน่ะซิให้ผมปล่อยพวกมันไป  ผมก็เจ๊งหมดตัวกันพอดี   แค่นกตัวนั้นผมก็ขาดทุนไปหลายตังค์แล้ว อย่าเพ้อเจ้อดีกว่า   คุณต้องไปโรงพักกับผมเดี๋ยวนี้” 
            รีบคว้าข้อมือหล่อนเอาไว้  ท่าทางโมโหจัด  คิดว่าผู้หญิงคนนี้สติไม่ดีแน่  ถึงได้เที่ยวมาปล่อยสัตว์ของเขาตามอำเภอใจ  ต้องเอาตัวไปให้ตำรวจจัดการเรื่องค่าเสียหายของเขา
            “ปล่อยนะ!”  
            เพียงแค่สะบัดเบาๆ  ก็หลุดจากการเกาะกุม  นางไม้สาวจ้องหน้าคนขายสัตว์ป่าแววตาแข็งกร้าว เจ้ามนุษย์ใจบาป  เจ้าทำให้สัตว์เหล่านี้ต้องได้รับทุกข์ทรมาน  มันทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อน   ถึงจับมันมาใส่กรงขังเอาไว้?”
            “มันเรื่องของกู  มึงอย่าเสือก!”   เจ้าของร้านตวาดแหว   ฉุนจัดขนาดขึ้นมึงกู
            เห็นจะพูดกันดีๆไม่รู้เรื่องแน่ต้องแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ให้ชายคนนี้เห็นเสียแล้ว  วนาชี้นิ้วไปที่กรงกระรอก มีสะเก็ดดาวพรั่งพรูออกจากนิ้ว  ตรงเข้าครอบคลุมกรงใบนั้น  จนแลดูระยิบระยับพร่าตา
            ท่ามกลางสายตาทุกคู่  ที่กำลังมุงดูอยู่อย่างตื่นเต้น  กรงใบนั้นพลันหายวับไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ กระรอกนับสิบตัวพากันวิ่งพล่านทันทีที่ได้รับอิสรภาพ
            “ตายห่าฉิบหายแล้วกู!!”   เจ้าของร้านแทบลมใส่ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น