วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

โดย...เจิด จินตนา
33….
อุ้ม อิษยา เป็น วนา


            “อ้าวคุณวนาหายไปไหนแล้ว?”  
            ต้นหมวดคิ้วสงสัย  เมื่อเห็นวนาไม่ได้ยืนรออยู่ที่จุดเดิม
            “เขาคงไม่พอใจมั้ง  ที่ตุ่มมาดึงพี่ต้นไป”  หญิงสาวออกความเห็น  ช่วยกันมองหาไปรอบๆ  ไม่เห็นมีแม้แต่เงาของนางไม้สาว  เลยทึกทักเอา
            “ไม่หรอกนะ  เธอเป็นคนบอกให้ไปกับตุ่มเองนี่นา ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่พอใจ”      เป็นไปไม่ได้แน่ต้นคิด และเริ่มวิตกกังวลไปต่างๆนานา  กลัวนางไม้สาวจะไปก่อเรื่องก่อราวอะไรวุ่นวายเข้าอีก
            “เข้าห้องน้ำหรือเปล่าไม่รู้ซี่  ตุ่มไปดูให้เอามั้?”
            “ไม่ต้องเลยตุ่ม  อย่าลืมนะว่าเธอเป็นผี  ไม่ใช่คน
            “เออจริงซีนะ”  
            ตุ่มเพิ่งนึกได้ว่าผีนั้นเป็นเพียงวิญญาณ   ไม่มีอะไรยุ่งยากเหมือนกับคน  ที่ต้องกินต้องถ่าย แล้วนี่หล่อนหายไปไหนอยากรู้นักหรือว่าหล่อนยังอยู่ที่นี่  แต่หายตัวคอยจับตาดูอยู่
            “พี่ต้น”   ตุ่มเกาะแขนชายหนุ่ม  กระชิบเสียงสั่น  เขาไม่หลอกตุ่มแน่นะตุ่มกลัว!”
            “คุณวนาเธอไม่ทำอะไรบ้าๆ  แบบนั้นกับตุ่มหรอกน่า  พี่รับรองได้”   ชายหนุ่มปลอบใจ
            “แล้ว….แล้วเขาหายไปไหนล่ะ?
            “อาจไปเดินเล่นดูอะไร  เดี๋ยวคงกลับมา
            หญิงสาวยังไม่ยอมเชื่อใจทีเดียวนัก  ขึ้นชื่อว่าผีย่อมจะทำอะไรได้แปลกๆ  หล่อนเคยถูกหลอกหลอนมาแล้ว ความหวาดระแวงจึงมีอยู่
            มือที่เกาะแขนต้นบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว  เหลือกตาล่อกแล่กมองไปรอบด้าน  กลัววนาจะโผล่พรวดออกมา ทำให้ตกอกตกใจ
            มันไม่แน่หรอกนะ  หล่อนเป็นเพื่อนของแตนซึ่งเคยมีเรื่องมีราวกับนางไม้สาวมาก่อน  ความแค้นเคืองอาจจะโยงใยมาถึงตัวหล่อนด้วย   บางทีวนาอาจจะกำลังจ้องหาโอกาสเล่นงานหล่อนอยู่
            มีเงาอะไรบางอย่าง  เคลื่อนไหววูบวาบหลังกระถามต้นไม้ที่วางระเกะระกะอยู่ไม่ไกลนัก ตุ่มเหลือกตาจ้องเขม็งแทบไม่ยอมกระพริบ
            กระถางต้นไม้กลุ่มนั้น  เป็นกึ่งมะม่วงตอนสูงเกือบเท่าไหล่คน  จึงสามารถช่วยปิดบังซ่อนเร้น สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง  จากสายตาคนภายนอกได้อย่างมิดชิด
            กึ่งใบของต้นมะม่วงไหวยวบยาบ  แสดงว่าต้องมีอะไรแอบอยู่แน่  ตุ่มรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
            และแล้ว……สิ่งที่อยู่เบื้องหลังกระถางต้นมะม่วงก็โผล่พรวดออกมา
            “ว๊ายผีผีหลอก!!”  
            ตุ่มผลับตาปี๋  กระโจนพรวดเข้ากอดต้นอย่างรวดเร็ว  น้ำหนักตัวเกือบแปดสิบโล  พลอยทำให้ชายหนุ่มเสียหลัก  หงายหลังไปนั่งกระแทกพื้น  โดยมีร่างของตุ่มคร่อมอยู่  ตัวสั่นงันงกเป็นเจ้าเข้า แหกปากร้องลั่นไม่ยอมหยุด
            “ช่วยด้วยช่วยด้วผีหลอกผีหลอก!!”
            “อะไรตุ่มผีที่ไหนกัน?”
            “โน่นโน่นทางโน้น!”   
            หล่อนชี้มือไปทางดงกระถางต้นมะม่วง  ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่  ต้นหันมองตาม
            เขาเห็นร่างๆ หนึ่งศีรษะคลุมผ้าสีมอซอ  ยืนอยู่ในดงกระถางต้นไม้นั้น  เนื้อตัวเลอะเทอะสกปรก ไปด้วยดินโคลน   สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวและนุ่งผ้าถุงเก่าๆ
            พอผ้าคลุมหัวถูกดึงออก  จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงชรา  ใบหน้าเหี่ยวย่นแก้มตอบ  รูปร่างซูบผอมเหมือนผีตายซาก  เพราะเหตุนี้เองตุ่มถึงได้เข้าใจผิด  
            แกคงนั่งทำงานของแก  อยู่ในดงกระถางต้นไม้ เพราะแดดร้อนถึงต้องเอาผ้าขาวม้าคลุมหัวประกอบกับรูปร่างหน้าตาของแก  เลยทำให้ตุ่มนึกทึกทัก เอาว่าแกเป็นผี
            “ผีที่ไหนกัน   คนชัดๆดูให้ดีซิ”  
            ได้ยินต้นบอกเช่นนั้น  ตุ่มค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง  เห็นหญิงชรากำลังยืนค้อนตาประหลับประเหลือก 
            นี่,แม่คู๊ ณ ฉันยังไม่ตายนะยะหล่อน  เด็กอะไรปากอัปมงคล   เดี๋ยวแม่ด่าเช็ด!”
            ไม่ต้องรอให้แกด่าหรอก  ตุ่มรีบฉุดมือต้นให้ลุกขึ้นเดินหนีทันที  หน้าแตกยับด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้า  ต้นเหลียวกลับไปมอง  เห็นแกยังยืนทำปากขมุบขมิบเจริญพรไล่หลังมา
            “ตุ่มนี่แย่จริงๆ  ไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีเสียก่อน โวยวายออกมาได้
            “ใครจะไปรู้ล่ะ  คนกำลังกลัวๆอยู่  เห็นแกคลุมหัวผลุบๆโผล่ๆก็นึกว่าผีน่ะซี่”   ตุ่มบ่นกระปอดกะแปด  รีบก้าวฉับไปให้พ้นๆจากที่นั่นเร็วๆ
            ฝูงนกจำนวนมากมาย  บินพรูออกมาจากเต้นท์บริเวณจำหน่ายสัตว์เลี้ยง  ติดตามมาด้วยเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกตกใจ  ของผู้คนในบริเวณนั้น  ทำให้ตุ่มกับต้นชะงักหยุดยืนมอง
            นกสารพัดชนิดบินกันว่อนทั้งตัวเล็กตัวใหญ่  ที่บินไม่ได้เช่นนกยูงและไก่ป่า  ก็กระพือปีกพึ่งพั่บ วิ่งพล่านกันไปมา  เห็นคนกำลังไล่จับชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด
            “เกิดอะไรขึ้นล่ะนั้น?”   ตุ่มหันมาถามต้น
            “ไม่รู้เหมือนกันซีนะไปดูกันดีกว่า” 
            เขาบอกแล้วรีบวิ่งนำตุ่มออกไปทันที
            เหตุการณ์โกลาหลครั้งนี้  อาจจะเกิดขึ้นเพราะฝีมือของนางไม้สาวก็ได้  เป็นไปไม่ได้แน่ ที่นกจำนวนมากมาย  จะหลุดออกมาจากกรงพร้อมๆกันทีเดียวแบบนี้   ถ้าไม่มีใครมือบอนเปิดกรงปล่อยพวกมัน
            ลิงสองสามตัววิ่งฝ่ากลุ่มคนที่กำลังแตกตื่นออกมาและกระโจนพรวดเข้าไปแถบบริเวณร้านขายอาหาร ทำให้คนที่กำลังกินอาหารอยู่  พากันแตกฮือลุกหนีเป็นเจ้าละหวั่น
            ชายหนุ่มรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น  ใจร้อนรนเต็มทีอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใกล้บริเวณจำหน่ายสัตว์เลี้ยง เข้าไป  ต้นเห็นสัตว์สี่เท้าสารพัดชนิดวิ่งกันยั้วเยี้ย  มีทั้งกระต่าย   หนูหริ่ง  ค่างชะนีหมาแมว  บ้างก็ไต่ขึ้นไปตามแผงร้านค้ารื้นค้นหาของกิน  สร้างความตกอกตใจให้แก่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า  และผู้คนที่กำลังเดิน จับจ่ายซื้อของเป็นอันมาก
            นับว่าเป็นความโกลาหลวุ่นวาย  ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เปิดตลาดนัดสวนจตุจักรมา      ต้นเร่งผีเท้าเต้มที่ เพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วแต่งฝูงชนที่กำลังแตกตื่นวิ่งสวนมาเป็นชุลมุนประกอบกับทางเดินซึ่งคับแคบอยู่แล้ว ทำให้ชายหนุ่มกับเพื่อนสาวรูปร่างหุ่นจ้ำหม้ำ  คืบหน้าไปได้อย่างลำบากยากเย็น
            “ว๊ายยย!” 
            เสียงตุ่มร้องลั่น  เมื่อสะดุดเอาเต่าตัวใหญ่ล้มป้าบหน้าฟาดลงบนพื้นอย่างแรง  รู้สึกจุดแน่นหน้าอกจนลุกไม่ขึ้น  ต้นต้องช่วยประคองมาหลบเข้าไปใต้แผง  ก่อนที่จะโดน ผู้คนที่กำลังแตกตื่นเหยียบเอา
            เต่าตัวนั้น  มันคงกลัวว่าจะโดนเหยียบซ้ำ  รีบคลานต้วมเตี้ยมเข้ามาใต้แผงเหมือนกัน  แล้วหดหัวซุกตัวอยู่ในกระดอง
            ผู้คนชักซาลงแล้ว   ทางเดินจึงเปิดโล่งขึ้น  ต้นมองไปข้างหน้า  เห็นข้าวของหล่นกระจัดกระจาย เรี่ยราดเต็มไปหมด   ร่างนางไม้สาวยืนเด่นอยู่กลางตลาด   ตรงบริเวณจำหน่ายสัตว์เลี้ยง  มีลูกชะนีตัวเล็กๆเกาะอยู่บนไหล่หล่อนกำลังชี้นิ้วเศกกรงนกพิราบใบใหญ่ให้หายวับไป ฝูงนกพิราบพากันขยับปีดโผบินกระจายกันออกไป
            “คุณวนา!” 
            นึกอยู่แล้วเชียวว่าจะต้องเป็นผีมือของแม่นางไม้จอมยุ่งแน่  ต้นตะโกนเรียกเสียงดัง  แล้วรีบลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดเข้าไปหาหล่อน โอแย่ล่ะซี  ทำไมทำอย่างงี้ล่ะ?”
            “วนาสงสารพวกมันสัตว์พวกนี้ถูกคนใจร้ายจับมาขังน่าสงสารออก  เลยช่วยปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ
            “แต่นี่มันเป็นอาชีพของพวกเขา  คุณเล่นมาปล่อยของเขาไปแบบนี้  พวกเขาต้องเอาเรื่องกับคุรแน่!”
            “คนพวกนี้ใจบาปหยาบช้า  หากินบนความทุกข์ยากของสัตว์เหล่านี้  จับมันมาขังทรมาน  แทนที่จะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่อย่างอิสระในป่า  วนาจำเป็นที่จะต้องสั่งสอนพวกเขา  ให้รู้สำนึกเอาไว้เสียบ้าง
            ชายหนุ่มได้แต่สั่นหน้าพูดอะไรไม่ออก  ลองคะเนดูอย่างหยาบๆ ความเสียหายในครั้งนี้  มากมายมหาศาลไม่น้อยเลยทีเดียว   หากวนาเป็นมนุษย์  มีหวังต้องติดคุกชดใช้เขาหัวโต
            พูดกับหล่อนในตอนนี้  คงไม่มีวันยอมเข้าใจแน่  ทำได้อยู่อย่างเดียวคือ  รีบพาหล่อนออกไปจากที่นี่ ก่อนที่จะสร้างความเดือดร้อนมากไปกว่านี้
            “นั่นไงนั่นมันอยู่ทางนั้น!”  
            มีคนจำนวนมากมาย     ถือมีดถือไม้วิ่งกรูกันมาท่าทางโกรธแค้นอย่างหนัก  คนพวกนี้คงจะเป็นเจ้าของร้านต่างๆ  ที่ได้รับความเดือดร้อนจากฝีมือของวนา
            “เอามันเลยอีนังนี่มันทำพวกเราฉิบหายป่นปี้หมด!”
            “ช่วยกันจับมันส่งตำรวจเร็วพวกเรา!” 
             เสียงร้องตะโกนโหวกเหวก  เสียงสาปแช่งดังขรม คนเหล่านั้นกระจายกำลังกันโอบล้อมนางไม้สาวเอาไว้
            “อย่าให้มันหนีไปได้นะ  ผู้หญิงอะไรบ้าชะมัดเลย  ! ” 
            สีหน้าทุกคนดูเหี้ยมเกรียมเหมือนสัตว์ป่า ที่กำลังหื่นกระหายเลือดไม่มีผิด  พร้อมที่จะกุ้มรุมทำร้ายนางไม้สาวให้แหลกยับไปในพริบตา
            ต้นรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน  เมื่อเห็นท่าทางของคนเหล่านั้น  แต่วนากลับยืนนิ่งเฉย ไม่มีอาการหวาหวาดเกรงเลยสักนิด
            “หนีเถอะคุณวนา  พวกเขาเอาเราตายแน่!”   เขากระซิบยบอก
            “อย่ากลัวไปเลยคุณต้น เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก”   
             แทนที่จะวิ่งหนี  วนากลับหลับตาลงรวบรวมสมาธิ แผ่กระแสจิตออกไปรอบด้าน   บังเกิดเป็นรัศมีวงกลมสีเหลืองนวล  ครอบคลุมร่างของหล่อนเอาไว้  ทำให้ทุกคนที่กำลังรายล้อมอยู่  ต่างพากันตื่นตกใจ
            “เฮ้ย….มันไม่ใช่คนนี่หว่า!?”
            “ผี….ต้องเป็นแหงๆ !!”  
            เสียงบอกต่อๆกันเซ็งแซ่   แล้วเริ่มเกิดความระส่ำระสาย  ไม่มีใครกล้าแหย๋มเข้ามาจัดการกับนางไม้สาว  ได้แต่ยืนคุมเชิงอย่างหวาดๆ
            ในขณะนั้นเอง  นกเงือกตัวใหญ่ก็บินนำฝูงนกเข้ามาในเต้นท์  แล้วเริ่มโจมตีผู้คนที่กำลังยืนรายล้อมวนาอยู่ จิกตีคนเหล่านั้นจนแตกฮือ  สัตว์ป่านานาชนิดที่ได้รับการปลอดปล่อยให้เป็นอิสระ  พากันย้อนกลับมาช่วยรุมเล่นงาน  คนเหล่านั้นจนเลือดโชกไปตามๆกัน
            พวกมันต่างพร้อมใจกัน  ต่อสู้เพื่อทำการปกป้องนางไม้สาว  ราวกับนัดกันไว้  หลายคนถูกลิงกัดดิ้นพราดบ้างถูกนกไล่จิกตีวิ่งหนีกระเจิง  ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการบุกโจมตี ของสัตว์เหล่านี้ได้   
            “กรรมตามสนองพวกเจ้าแล้ว”   วนาร้องบอกเสียงดัง  พวกเจ้าเคยทำการุณกรรมสัตว์เหล่านี้พรากลูกพรากแม่จับมันมาขังให้ได้รับความทุกข์ทรมานบัดนี้ เป็นทีที่มันจะตอบแทนกับพวกเจ้าบ้าง  คงจะได้รู้สำนึกกันแล้วซีนะ  ว่าสัตว์ทุกตัวมันก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน
            ท่ามกลางการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวาย  ตุ่มวิ่งลัดลเาะเข้ามากระตุกแขนต้นซึ่งยืนตะลึงอยู่อย่าแรง
            “ไปจากที่นี่กันเหอะพี่ต้นยุ่งใหญ่แล้ว !”  
            ชายหนุ่มได้สติ  รีบหันไปบอกกับนางไม้สาว
            “พอเถอะครับคุณวนาหยุดเถอะ !”  
            รัศมีวงกลมจางหายไปจากร่าง  ต้นคว้ามือวนาดึงให้ถอยออกมา ทิ้งความโกลาหลเอาไว้เบื้องหลัง  ตุ่มเดินลิ่วนำต้นกับวนาฝ่าฝูงชนออกมาทางประตูด้านหลังสวนจตุจักร 
            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว  ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังต่างพากันเร่งรุดไปดูอย่างมืดฟ้ามัวดิน ไม่มีใครสนใจบุคคลทั้งสาม จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะรีบหนีไปในตอนนี้
            ต้นโบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง  ให้ไปส่งที่อพาร์ตเม้นท์  และรั้งตุ่มให้ไปด้วยกันก่อน  ทุกคนต่างนั่งนิ่งเงียบกันไปตลอดทาง  ไม่มีใครปริปากพูดถึงเหตุการณ์อันระทึกขวัญนี้เลย
                        ************
            “คุณทำให้วุ่นวายกันไปหมดเลยนะครับคุณวนา ” 
            ต้นเริ่มเปิดฉากต่อว่านางไม้สาว  เมื่อกลับมาถึงห้องพักเรียบร้อยแล้ว  รู้มั้ยว่าความเสียหายที่คุณก่อขึ้นมาน่ะ  มันมากมายใหญ่โตขนาดไหน….?”
            “วนาทนไม่ได้นี่คะ   ที่จะเห็นสัตว์พวกนั้นถูกขังเอาไว้ในกรงอย่างน่าเวทนาถ้าเป็นคุณต้นถูกใครจับไปกักขังแบบนั้นบ้างล่ะ   จะรู้สึกยังไง?
            โดนหล่อนย้อนเข้าชายหนุ่มถึงกับสะอึก   ได้แต่ทอดถอนใจกลอกหน้าไปมา  
            ในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ  ตุ่มอุ้มลูกชะนีไว้บนตักนั่งฟังอยู่เฉยๆไม่เข้าไปสอดแทรก  หรือแสดงความคิดเห็นอะไรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของต้น  ที่จะอธิบายทุกอย่างให้วนาได้เข้าใจ
            “ผมรู้ทำแบบนั้นมันไม่เป็นการถูกต้อง”   ชายหนุ่มพยายามลดเสียงพูดให้นุ่มนวลลง
ชีวิตของใครใครก็ต้องรักต้องหวงแหน  แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเกิด มันมีมาตั้งนานแล้วนะครับคุณวนา
            “ทำไมมนุษย์จะต้องทำกับสัตว์อย่างงั้นด้วยล่ะ
            “เพราะว่ามนุษย์มีความรักความเข้าใจต่อสัตว์ไปในทางที่ผิดๆ  อยากได้พวกมันมาเลี้ยงดูเล่น  ได้ใกล้ชิดกับมัน โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นอยู่ตามธรรมชาติอันแท้จริงของมัน  สัตว์ป่าจำนวนมากมายจึงถูกมนุษย์ตามล่า โดนจับตัวมาขายจนนับไม่ถ้วนนี่แหละ
            “ช่างน่าสมเพชจริงๆ  แล้วไม่มีใครคิดแก้ไข  จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปหรือไงคะ?”
            “ก็มีหรอกนะ  มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่ากำลังรณรงค์ให้ทุกคนได้มีความเข้าใจถูกต้อง   เลิกซื้อสัตว์ป่ามาเลี้ยง ถ้าไม่มีคนซื้อการจับสัตว์ป่ามาขายก็จะค่อยๆหมดไปเอง  แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าคนจะเข้าใจ
            “หมายความว่า  สัตว์ป่าที่น่าสงสาร  จะต้องถูกมนุษย์ตามล่า  จับตัวมาขายเป็นสินค้าอีกต่อไป
            “คงต้องเป็นอย่างงั้นแหละครับ  จนกว่าคนจะเลิกซื้อ
            “วนาไม่ยอมหรอก   ขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ  ไม่ช้าสัตว์ป่าก็ไม่มีเหลือน่ะซี  วนาต้องขัดขวางให้ได้คอยดูซี่
            “อย่าเลยครับคุณวนา  ผมขอร้องเถอะ  ถ้าคุณขืนใช้อิทฤทธิ์ไปก่อกวนที่ตลาดนัดเรื่อยๆ  มีหวังวุ่นวายไม่รู้จักจบ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาคุณอยากให้คนทั้งโลกรู้ว่าคุณเป็นนางไม้อย่างงั้นหรือครับ  ?” 
            คำพูดของต้นทำให้วนาต้องเป็นผ่ายนิ่งอึ้งไป   ไม่เป็นผลดีกับคุณแน่   ถ้าใครๆเขารู้ว่าคุณเป็นนางไม้  คุณจะกลายเป็นตัวปละหลาดขึ้นมาทันทีเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก  แล้วเมื่อนั้น  คุณจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข   ทุกวันนี้  แค่อาจารย์บุญคอยจ้องจะเล่นงานคุณมันก็เดือดร้อนพอแล้ว
            สังเกตเห็นหล่อนนั่งนิ่งฟังไม่โต้แย้ง  ชายหนุ่มจึงร่ายยาวเทศนาต่อ มันเป็นแบบนี้ของมันมานานแล้ว  ไม่ใช่เฉพาะที่ตลาดนัดสวนจตุจักรแห่งเดียว  ที่อื่นๆก็มีการซื้อขายสัตว์ป่า คุณไม่สามารถที่จะจัดการได้หมดแน่  ปล่อยมันก่อนเถอะ  สักวันหนึ่ง  เมื่อมนุษย์ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ป่า   ว่ามันมีประโยชน์ต่อความสมดุลย์ทางธรรมชาติอย่างไร  คงเลิกคิดที่จะไปรบกวนพวกมันอีก
            ตุ่มรู้สึกซาบซึ้งในคำพูดของเพื่อนยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะมีคารมที่หลักแหลมเพียงนี้  สามารถกล่อมให้นางไม้สาวสงบเยือกเย็นลงไปได้  หล่อนถอนหายใจออกมา  เมื่อเห็นสถานการณ์กำลังจะคลี่คลายลง ไปในทางที่ดี  ก้มลงมองลูกชะนีบนตัก  เห็นมันนอนซุกตัวเงียบอยู่ชักเอะใจ
            “เอ๊ะลูกชะนีเป็นอะไรไปน่ะ?”  
            ลองจับตัวดู  ท่าทางมันรู้สึกเซื่องซึมหงอยเหงาผิดปกติ โอแย่แล้วมันกำลังจะตายหรือนี่….?” 
             เสียงโวยวายของตุ่ม  ทำให้ต้นกับวนารีบเข้ามาดูอย่างตกอกตกใจ
            เจ้าลูกชะนีตัวน้อย   ค่อยๆลืมตาเงยหน้ามองดูทุกคน  ร้องครวญครางเบาๆน่าสงสาร   จากนั้นจึงซุกตัวนิ่งเงียบไปอีก   นางไม้สาวยื่นมือไปแตะที่ตัวมันเบาๆ  ขมวดคิ้วนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ๆ
            “มันคิดถึงแม่ของมันน่ะ   ไม่ได้กินนมมาหลายวันแล้ว
            “ตายจริงแล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”   ตุ่มมองหน้าทุกคนเป็นเชิงขอความเห็น
            “ผมจะออกไปซื้อนมมาชงให้มันกิน”  ต้นบอก
            “ไม่มีประโยชน์หรอกคุณต้น”   วนารีบทักท้วง มันจะไม่ยอมกินอะไรเลย  นอกจากนมแม่ของมันเท่านั้นเอง
            “แต่แม่ของมันอยู่ที่ไหน  เราจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะคะคุณวนา?”   ตุ่มถาม
            “แม่ของมันน่ะถูกมนุษย์ฆ่าตายปเสียแล้ว   วนารู้ว่าอยู่ที่ไหน  มันอาจจะพอมีทางรอดได้  ถ้าเราพามันกลับไปหาฝูงชะนีที่มันเคยอยู่
            “งั้นก็รีบไปเดี๋ยวนี้เลยซิครับคุณวนา”   ต้นรีบให้การสนับสนุน
            นางไม้สาวรับลูกชะนีจากตุ่มมาอุ้มไว้  ลูบหัวมันเบาๆ  แล้วเดินไปนั่งลงที่เตียง  ชายหนุ่มถือโอกาสนั่งลงข้างๆ
            “ผมไปด้วยนะคุณวนา  อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง”   
            หล่อนพยักหน้ารับ แล้วหันมาทางตุ่ม
            “ไปด้วยกันซิคะคุณตุ่ม” 
            หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างงงๆ  ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองจึงไปนั่งอยู่บนเตียง  ทั้งๆที่บอกว่าจะพาลูกชะนี  กลับไปหาฝูงของมันในป่า 
            “มาเร็วๆซิตุ่มเตียงนี่จะพาเราไป” 
             ต้นร้องบอกพร้อมกับขยับที่ให้ ตุ่มยังไม่เข้าใจอยู่ดีแต่ก็เดินไป นั่งหน้าตาเด๋อด๋าอยู่บนเตียง   มองดูคนนั้นทีคนนี้ที
            “หลับตาลงนะคะ  เราจะไปกันแล้ว” 
            เสียงนางไม้สาวเตือน   ตุ่มรีบปฏิบัติตาม  หล่อนหลับตานั่งเงียบทั้งๆ ที่ใจยังเต็มไปด้วยความพะวงสงสัย  แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรออกมา
            สักครู่ใหญ่ๆ ตุ่มเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัว  เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ดังมากระทบหู  กลิ่นไอธรรมชาติของแมกไม้ขุนเขาโชยมากระทบจมูก
            นี่หล่อนกำลังฝันไปหรืออย่างไร  อยากจะลืมตาขึ้นมาเต็มที  แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จนกระทั่งได้ยินเสียงวนาบอก
            “ลืมตาได้แล้วค่ะ”





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น