คุณหนูไฮโซตกกระป๋อง
กับ
คุณชายจอมกวน
โดย...เจิด
จินตนา
ตอนที่ 1...
"ตื่นได้แล้วค่ะ...คุณหนูคะ!?"
เสียงนาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงดังลั่น
ได้ยินไปทั่วทั้งคฤหาสน์หลังใหญ่นานตั้งเกือบจะสามนาทีแล้ว
แต่ระพีภัทรากลับยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมตื่นนอนเสียที ป้าเลื่อมผู้เป็นแม่บ้านจึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาปลุกคุณหนูของแก
ก่อนที่ทุกคนในบ้านหลังนี้จะพากันเป็นโรคประสาทเพราะเสียงนาฬิกาปลุกไปกันจนหมด
หญิงสาวเจ้าของห้องยังคงนอนหลับอุตุอยู่
ทั้งๆ ที่มีนาฬิกาปลุกรูปร่างและแบบต่างๆ
กันวางอยู่ที่บนหัวเตียงนอนตั้งเจ็ดแปดเรือน และกำลังแข่งกันส่งเสียงปลุกดังระงมไปหมดเลยทีเดียว
แม่บ้านวัยกลางคนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกทีละตัว
ขณะที่สาวใช้อีกสี่คนซึ่งมีหน้าที่คอยปฏิบัติรับใช้คุณหนูของบ้านนี้
เดินเรียงแถวเข้ามาในห้องอย่างเป็นระเบียบ
ทุกคนจะใส่กระโปรงชุดสีน้ำเงิน
คาดผ้ากันเปื้อนและสวมหมวกคลุมผมสีขาวเหมือนกันหมด
พอเข้ามาในห้องแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนด้วยความคล่องแคล่ว
ตามที่ได้เคยปฏิบัติมาเป็นประจำอยู่ทุกวัน
บางคนไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำเตรียมไว้ให้คุณหนูอาบ
บางคนก็เตรียมผ้าขนหนูและผ้าเช็ดตัวแขวนไว้บนราว บีบยาสีฟันใส่แปรงให้ จากนั้นจึงยืนรอคอยให้คุณหนูลุกมาจากที่นอน
ป้าเลื่อมปิดเสียงนาฬิกาปลุกหมดทุกตัว
แล้วมองดูคุณหนูของแกพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย
ที่เสียงนาฬิกาปลุกดังจนแก้วหูแทบแตกแบบนี้แล้ว ยังสามารถทนนอนฟังเฉยอยู่ได้
"ลุกขึ้นได้แล้วล่ะค่ะคุณหนู"
"อือ...เดี๋ยวน่าป้า"
ระพีภัทราขยับเปลี่ยนจากท่านอนตะแคงเป็นคว่ำหน้าลง
พร้อมกับดึงหมอนที่หนุนศีรษะอยู่เอามาอุดหูเสีย
หล่อนได้ยินหมดแล้วทั้งเสียงนาฬิกาปลุกและเสียงเรียกของป้าเลื่อม
แต่ยังขี้เกียจลุกอยู่เพราะใจยังอยากจะขอนอนต่ออีกสักหน่อย อันเป็นความเคยชินซึ่งป้าเลื่อมเองรู้จักนิสัยคุณหนูของแกดีอยู่แล้ว
"เจ็ดโมงเช้าแล้ว
รีบลุกขึ้นดีกว่านะคะ"
"ไม่เอาล่ะ...ฉันยังไม่อยากจะตื่นนี่"
"คุณหนูเป็นคนตั้งนาฬิกาปลุกเองไม่ใช่หรอกหรือคะ เห็นว่าวันนี้จะต้องรีบไปที่มหาวิทยา
ลัยแต่เช้า?"
"จริงด้วย...ฉันนัดยัยชนาภาไว้!"
หญิงสาวทำท่าเหมือนว่านึกอะไรขึ้นมาได้
รีบลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งหัวฟูยุ่ง แต่แล้วเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง
หนังตาก็ค่อยๆ หรี่ปรือลงพร้อมกับการทิ้งตัวจะกลับลงไปนอนอีก "ช่างเหอะ...ขอนอนต่อดีกว่า"
"หมดเวลานอนแล้วล่ะค่ะ"
คราวนี้ป้าเลื่อมไม่ยอมให้หล่อนทำตามอำเภอใจ
ยื่นแขนไปรองกันเอาไว้ก่อนที่ศีรษะของหญิงสาวจะตกถึงหมอน แล้วช้อนหลังดันให้ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงตามเดิม
หากว่าขืนปล่อยให้หล่อนนอนต่อไปอีก
คงต้องว่ากันยาวเลยทีเดียวกว่าจะยอมตื่นได้
ดีไม่ดีอาจจะลากยาวไปถึงเก้าโมงสิบโมงเช้าโน่น
"ถ้าไม่รีบไปส่งรายงานล่ะก้อ
มีหวังเป็นเรื่องใหญ่แน่เลยนะคะ"
"รายงาน...?"
"ใช่แล้วล่ะค่ะ
รายงานที่คุณหนูไหว้วานเพื่อนช่วยเขียนให้ยังไงล่ะคะ
อาจารย์ขีดเส้นตายให้ต้องส่งภายในเช้าวันนี้ไม่ใช่หรือ?"
ป้าเลื่อมต้องช่วยพูดย้ำเตือนความทรงจำของคุณหนู
"เพราะเหตุนี้คุณหนูถึงได้เที่ยวหยิบยืมเอานาฬิกาปลุกของใครต่อใครมาตั้งปลุกอยู่นี่
เพราะกลัวว่าจะตื่นไปมหาวิทยาลัยไม่ทันอย่างไรล่ะคะ"
"จริงซิ...รายงานที่ให้ยัยชนาภาช่วยเขียนต้องส่งวันนี้แล้ว"
"งั้นก็รีบลุกขึ้น
ไปอาบน้ำอาบท่าเสียทีซิคะ?"
"อือ"
เรื่องนี้ทำให้ระพีภัทราตาสว่างยอมลุกจากที่นอนเดินสะลึมสะลือไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี
ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนที่เห็นคุณหนูเลิกงอแง
เพราะว่านี่เป็นรายงานวิชาเอก
ซึ่งหล่อนถูกอาจารย์ประจำวิชาคาดโทษไว้ว่า
ถ้าไม่ส่งภายในวันนี้แล้วจะตัดสิทธิ์สอบทันที
จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษ
ระพีภัทรานั้นเรียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิดเลยก็ได้
เพราะครอบครัวของหล่อนเป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของเมืองไทย
คุณพ่อของหล่อนก็คือ
นายดิษย์ มหาศาลสมบัติ ประธานบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์มหาศาล
สืบทอดต่อมาจากรุ่นปู่ทวด มีเงินทองทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลสมกับนามสกุลเลยจริงๆ
ด้วยเหตุเช่นนี้เอง
ระพีภัทราซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว
จึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมดังกับไข่ในหินมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
ไม่ว่าจะทำอะไร
หล่อนจะต้องมีคนรับใช้ประจำตัว คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เมื่อตอนที่ยังตัวเล็กๆ อยู่นั้นถึงกับต้องมีคนรับใช้ช่วยอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้เลยทีเดียว
เพิ่งจะมาอาบเองเอาเมื่อตอนที่เริ่มจะเป็นสาวแล้วนี่เองแหละ
แต่ถึงกระนั้นก็ดี
เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว หล่อนยังมีคนรับใช้ส่วนตัวคอยดูแลให้สารพัดอย่างอยู่
ตั้งแต่การหวีผมแต่งหน้าแต่งตา และแม้แต่สวมใส่เสื้อผ้าแต่งเนื้อแต่งตัวให้กับหล่อน
ระพีภัทราแทบจะไม่เคยได้ทำอะไรด้วยตัวของหล่อนเองเลย
แต่การที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจนเกินไปนั้น
จึงมีผลเสียทำให้หล่อนกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง เพราะมีแต่คนคอยตามใจ
จะมีก็เพียงป้าเลื่อมคนเดียวเท่านั้นเอง
ที่หล่อนให้ความยำเกรง เพราะว่าป้าเลื่อมเป็นผู้ที่
เลี้ยงดูคอยเอาใจใส่ในตัวหล่อนอย่างใกล้ชิด
แทนบิดามารดาของหล่อนมาตั้งแต่เล็ก
และเป็นคนเดียวที่หล่อนจะปรึกษาหารือได้ทุกเรื่อง
คุณดิษย์นั้นวันๆ
จะเอาแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจของบริษัท ส่วนคุณกานต์ผู้เป็นมารดานั้น ชอบเอาแต่เข้าสังคมวงไฮโซ
จึงแทบจะไม่ได้มีเวลามาเอาใจใส่กับลูกสาวคนนี้เลย
ระพีภัทราถึงแม้ว่าจะมีความเป็นอยู่ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์
แต่ขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว
อันเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนชอบทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อระพีภัทราแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยลงมา เจอแต่มารดานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตัวใหญ่ตามลำพังคนเดียว
โต๊ะรับประทานอาหารของบ้านหลังนี้นั่งได้เต็มที่ถึงยี่สิบสี่คน
มันจึงแลดูค่อนข้างจะโดดเดี่ยวอยู่ไม่ใช่น้อยที่มีมารดาของหล่อนนั่งอยู่คนเดียวตรงหัวโต๊ะ
ถึงจะมีสาวใช้คอยยืนรับใช้อยู่อีกถึงสองคนก็ตาม
"คุณพ่อล่ะคะ?"
"ไปบริษัทตั้งแต่เช้าแล้ว
ประเดี๋ยวแม่ต้องรีบไปอยู่เหมือนกัน"
คุณกานต์ยกแก้วนมสดพร่องมันเนยขึ้นจิบดื่ม
ถึงวัยจะขึ้นต้นด้วยเลขสี่แล้วแต่รูปร่างยังดูดี
เพราะคอยควบคุมดูแลเรื่องน้ำหนักอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ระพีภัทราเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า
มารดาของหล่อนอยู่ในชุดเตรียมพร้อมที่จะออกจากบ้าน
ประดับเครื่องเพชรแพรวพราวเสียเต็มตัว
"คุณแม่จะออกไปไหนหรือคะ?"
"แม่มีประชุม
ภรรยาของท่านรัฐมนตรีคลังต้องการให้แม่ไปเป็นกรรมการงานราตรีสโมสรเพื่อหารายได้ช่วยเหลือเด็กยากจนในถิ่นทุรกันดารน่ะจ้ะ"
"แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ?"
"อาจจะดึกหน่อย
เพราะต้องไปงานเลี้ยงวันวันแซยิดของภรรยาเจ้าสัวอีกด้วย"
"ว้า...แปลว่าเย็นนี้หนูต้องทานข้าวคนเดียวอีกซีนะคะ?"
"มันจำเป็นน่ะจ๊ะลูก..."
คุณกานต์เห็นลูกสาวทำหน้าม่อย
จึงลุกมาจุมพิตที่หน้าผากนิดหนึ่งเป็นการเอาใจ "บ้านเรามีคนรับใช้ออกตั้งเยอะแยะ
ลูกอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่กันล่ะ?"
"แต่มันไม่เหมือนกันนี่คะ
หนูอยากจะทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง
ไม่เคยมีสักวันที่เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลยนะคะ"
"คุณพ่อเขาต้องมีงานยุ่งทุกวัน
ส่วนแม่เดี๋ยวก็ประชุมติดงานเลี้ยงเอาแน่เอานอนไม่ได้
ถ้าลูกเหงาล่ะก้อชวนเพื่อนไปเดินช็อปปิ้งดูหนังบ้างก็ได้นี่
แม่ต้องรีบไปล่ะเดี๋ยวสายรถจะติดมาก...บ๋ายบายจ๊ะ"
คุณกานต์รีบลุกออกจากห้องไป
โดยที่ไม่ได้สนใจว่าลูกสาวจะมีความรู้สึกอย่างไร
เพราะมีความเป็นห่วงงานสังคมของตนเองมากกว่า
"รีบทานอาหารเช้าให้เสร็จ
แล้วไปมหาวิทยาลัยดีกว่านะคะคุณหนู"
เห็นระพีภัทรานั่งหน้ามุ่ยอยู่
ป้าเลื่อมจึงเดินเข้ามาบอกกับหล่อน
ขณะที่สาวใช้คนหนึ่งจัดแจงรินน้ำส้มคั้นจากเหยือกใส่แก้วให้
ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยกถาดเงินมีฝาครอบมาวางบนโต๊ะ
แล้วเปิดฝาหยิบชามโจ๊กหมูใส่ไข่ออกมาวางเสิร์ฟให้กับหล่อนตรงหน้า
พอหล่อนแลเห็นว่ามีขิงซอยและผักชีต้นหอมหั่นฝอยโรยหน้าอยู่
รีบเอาช้อนเงินจัดแจงเขี่ยออกจากชามทันที แม่บ้านวัยกลางคนจึงต้องพูดเตือนขึ้นมา
"อย่าเขี่ยผักทิ้งแบบนั้นซีคะคุณหนู"
"แต่ผักมันขม
ฉันไม่ชอบนี่ป้า"
"ขมแต่มีประโยชน์
ทานผักเยอะๆ มันจะเป็นการดีต่อสุขภาพของคุณหนูนะคะ"
"ดียังไงก็ไม่เอา"
ระพีภัทราวางช้อนลงบนโต๊ะทำท่าว่าจะไม่ยอมกิน
ป้าเลื่อมเห็นว่าหล่อนกำลังงอนคุณแม่อยู่ เลยต้องยอมตามใจเพราะอยากให้ได้ทานอาหารเช้าก่อนที่จะไปมหาวิทยาลัย
ถึงแม้ว่าแกจะใช้ความพยายามอย่างไร
แต่ไม่สามารถที่จะดัดนิสัยไม่ชอบกินผักของระพีภัทราได้เลยสักที
ขณะที่ระพีภัทรากำลังจะหยิบช้อนตักโจ๊กในชามใส่ปาก
เรื่องที่ไม่คาดฝันพลันบังเกิดขึ้นมา
มีแมลงสาบตัวหนึ่งคลานออกมาจากที่ใต้พรมปูพื้น
แล้วเดินลิ่วๆ ตรงดิ่งมาที่โต๊ะอาหารอย่างทระนงองอาจ พอหล่อนเหลือบสายตาไปเห็นเข้าเท่านั้นเองแหละ
รีบทิ้งช้อนหวีดร้องออกมาด้วยความตกอกตกใจกลัวเสียงดังลั่น
"กรี๊ดดดดดดดดด!!"
ไม่ใช่แค่ร้องอย่างเดียว
หล่อนยังรีบลุกพรวดพราดและปีนขึ้นไปยืนตัวสั่นงันงกอยู่บนโต๊ะ อาหาร ทำเอาทุกคนในที่นั่นแตกตื่นโกลาหลเป็นยกใหญ่
"มีอะไรคะคุณหนู!??"
"แมงสาบ...มีแมลงสาบ!!"
ระพีภัทรายังไม่ยอมหยุดส่งเสียงร้องกรี้ดๆ
หลับหูหลับตาชี้มือให้ป้าเลื่อมดูที่พื้นพร้อมกับกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ
เจ้าแมลงสกปรกโสโครกตัวเล็กๆ
นี้ มันเป็นสิ่งที่หล่อนขยะแขยงและชิงชังที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
ป้าเลื่อมเห็นแมลงสาบตัวนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับบรรดาสาวใช้ในบ้าน
ที่พากันวิ่งมาดูเหตุการณ์หน้าตาตื่นอยู่
"เร็วเข้า...รีบจัดการเอามันไปให้พ้นๆ คุณหนูเดี๋ยวนี้!"
"เจ้าค่ะ!"
พวกสาวใช้ย่อเข่าลงเล็กน้อยเป็นการรับคำสั่ง
ก่อนที่จะพากันวิ่งกันควั่กไปหาไม้กวาด ไม้ถูพื้น หรืออะไรที่สามารถจะหยิบฉวยได้
เพื่อเอามาต่อกรกับเจ้าแมลงสาบตัวนี้
ทุกคนต่างมีความชิงชังและขยะแขยงแมลงสาบไม่น้อยเช่นเดียวกัน
แต่ในเมื่อนี่มันเป็นคำสั่งจากคุณแม่บ้านผู้มีอำนาจใหญ่ในบ้านหลังนี้
จึงไม่มีใครกล้าที่จะขัด
ในเวลาเดียวกันนั้น
เจ้าแมลงสาบตัวที่เป็นปัญหามันคงจะตกใจกับเสียงที่ร้องกรี้ดๆ ของระพีภัทรา
ทำให้มันวิ่งพล่านไปรอบๆ ห้องเลย
"ไปนะไป...ชูว์ๆ!"
สาวใช้คนหนึ่งทำใจกล้า
ถือฝาถาดเงินเป็นโล่ห์และไม้ขนไก่ปัดฝุ่นเป็นอาวุธเดินย่องเข้าไปหาเจ้าแมลงสาบ
ที่มันกำลังวิ่งพล่านอย่างตื่นตระหนกอยู่พร้อมกับออกปากขับไล่
แต่พอเจ้าแมลงสาบมันเปลี่ยนทิศทางวิ่งตรงรี่เข้ามาหาเท่านั้นเอง หล่อนก็รีบกระโดดเหย็งถอยหนี
พร้อมกับหวีดร้องเสียงดังลั่น
"กรี๊ดดดดด!!"
"ว๊ายยยยยย!"
เสียงหวีดร้องของบรรดาสาวใช้ดังระงมไปทั้งห้อง
เมื่อเจ้าแมลงสาบตัวนั้นมันวิ่งเข้าไปหา ต่างได้แต่กระโดดหนีกันด้วยความหวาดกลัว
ไม่มีใครสักคนกล้าพอที่จะลงมือจัดการกับมันอย่างจริงจัง
"รีบจัดการกับมันซี่...เร็วๆ เข้า!!"
เสียงแม่บ้านวัยกลางคนตะโกนออกคำสั่งแข่งกับเสียงหวีดร้องของพวกสาวใช้
แต่ตัวป้าเลื่อมเองก็น้อยเสียเมื่อไหร่ พอเจ้าแมลงสาบมันวิ่งไปทางแกเท่านั้นเองแหละ
แกกระโจนพรวดขึ้นไปยืนกอดกับคุณหนูตัวสั่นอยู่บนโต๊ะกินข้าวเสียแล้ว
"เกิดอะไรกันขึ้นหรือครับ!??"
พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคน
ได้ยินเสียงหวีดร้องของพวกสาวๆ รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดูเหตุการณ์
ป้าเลื่อมจึงชี้มือไปที่แมลงสาบบนพื้น
"มีแมลงสาบอยู่ที่นี่...นั่นไง!"
"ไม่เป็นไรครับ
ผมจัดการเอง!"
รปภ.หนุ่มคนหนึ่งขานรับอาสา พร้อมกับปลดปืนพกแม็กนั่ม .357 อันเป็นอาวุธประจำกายออกจากซองคาดที่เข็มขัด แต่อีกคนหนึ่งเห็นเพื่อนทำเช่นนั้นรีบร้องห้ามเสียงหลง
"เฮ้ย...นั่นมึงจะทำอะไรน่ะ!??"
"ก็จะยิงให้มันเละไปเลยน่ะซีวะ!"
"มึงจะบ้าเร๊อะ...แค่แมลงสาบตัวเดียวเนี่ยนะ?"
รปภ.หนุ่มคนนั้นเพิ่งจะนึกขึ้นได้
รีบเก็บปืนพกเข้าที่เดิมแล้วดึงไม้กระบองออกมาแทน
พร้อมกับเดินย่างสามขุมเข้าไปหาเจ้าแมลงสาบเคราะห์ร้าย
คนหนึ่งดักทางซ้ายอีกคนหนึ่งดักทางขวา
พอมันวิ่งไปหาใครก็จะโดนเอาไม้กระบองหวดฟาดลงไป
นี่แน่ะๆ!!"
ตุ้บตั้บๆ!
แต่เจ้าแมลงสาบมันไวทายาท สามารถรอดหนีพ้นจากไม้กระบองมาได้ทุกที และยังคง
วิ่งพล่านไปมาสร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกสาวๆ
อยู่ในห้อง
ปุ่บ!
ในที่สุดมันก็หนีไม่พ้น
เมื่อโดนฝ่ามืออันหยาบกร้านและใหญ่โตของลุงพงษ์คนขับรถที่เข้ามาตะปบลงไปจับตัวมันเอาไว้ได้
เป็นการยุติความโกลาหลลงเสียที
ชายสูงอายุใช้นิ้วมือจับหนวดของเจ้าแมลงสาบซึ่งโดนน็อคไปเพราะแรงตบของแก
และชูขึ้นมาให้ทุกคนดูอย่างไม่ได้มีท่าทางแสดงความขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย
"เอามันออกไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะตาพงษ์!"
"จ้ะ,แม่เลื่อม!"
แกพยักหน้าหงึก
ก่อนที่จะถือแมลงสาบตัวนั้นเดินผิวปากออกจากห้องไป พร้อมกับรปภ.หนุ่มทั้งสองคน เหตุการณ์ทุกอย่างจึงกลับคืนเข้าสู่ภาวะปรกติ
เมื่อมามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ทำเอาระพีภัทราถึงกับทานข้าวไม่ลงเสียแล้ว
บรรดาคนรับใช้ในบ้านต่างจึงพากันมายืนเข้าแถวเพื่อคอยส่งคุณหนูที่หน้าประตู ซึ่งลุงพงษ์คนขับรถจะนำรถเบนซ์มาจอดเทียบรอรับตรงเชิงบันไดของคฤหาสน์พอดี
ลุงพงษ์แกเป็นสามีของป้าเลื่อม
และนับว่าเป็นข้าเก่าข้าแก่ของบ้านนี้
คุณดิษย์จึงได้ไว้วางใจให้เป็นคนขับรถคอยรับคอยส่งระพีภัทรา
และทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหล่อนไปในตัว ส่วนเรื่องในบ้านนั้นจะมอบหมายหน้าที่ให้ป้าเลื่อมเป็นคนดูแลทั้งหมด
มหาวิทยาลัยเอกชนที่ระพีภัทราเรียนอยู่นั้น ตั้งอยู่แถวชานเมือง
และตึกเรียนแต่ละวิชาก็อยู่ห่างไกลกันมาก ลุงพงษ์จึงต้องขับรถไปส่งคุณหนูของแก
และยังคอยอยู่ขับรถรับส่งคุณหนูระหว่างตึกเรียนอีกด้วย จนกว่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วนั่นแหละถึงจะหมดหน้าที่ของแก
และเพราะความร่ำรวยของตระกูลมหาศาลสมบัติ
จึงได้อภิสิทธิ์มีที่จอดรถส่วนตัวโดยเฉพาะที่ตึกคณะในมหาวิทยาลัย
แต่เช้านี้
พอลุงพงษ์ขับรถมาถึงกลับปรากฏว่า
มีรถเก๋งโตโยต้าคัมรี่สีตะกั่วมาจอดอยู่ในที่จอดรถส่วนตัวของแกเสียแล้ว
โชเฟอร์วัยสูงอายุจึงจำเป็นต้องขับรถเลยไปส่งคุณหนูที่หน้าตึก
และหาที่จอดรถใหม่รอจนกว่าเจ้าของรถคันนี้จะมาเอารถไปแล้ว
จึงจะกลับมาจอดยังที่เดิม
แต่ระพีภัทราเห็นว่าลุงพงษ์ไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันจึงเกิดความสงสัย
"อ้าว...ทำไมไม่เอารถเข้าไปจอดเลยล่ะลุง?"
"มีรถคนอื่นมาจอดอยู่
ผมจะขับไปส่งคุณหนูตรงหน้าตึกก่อนน่ะครับ"
หล่อนเหลียวไปมองดูเห็นว่ามันเป็นความจริงตามที่ลุงพงษ์แกบอกมา
ความฉุนเฉียวมีโมโหพลันบังเกิดขึ้นในทันที
"ไม่ต้องหรอกลุง
จอดรถเดี๋ยวนี้!"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น