วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คุณหนูไฮโซตกกระป๋อง ตอนที่ 1

คุณหนูไฮโซตกกระป๋อง
กับ
คุณชายจอมกวน                                                                    
โดย...เจิด จินตนา
ตอนที่ 1...


                                      "ตื่นได้แล้วค่ะ...คุณหนูคะ!?"
                                      เสียงนาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงดังลั่น ได้ยินไปทั่วทั้งคฤหาสน์หลังใหญ่นานตั้งเกือบจะสามนาทีแล้ว แต่ระพีภัทรากลับยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมตื่นนอนเสียที ป้าเลื่อมผู้เป็นแม่บ้านจึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาปลุกคุณหนูของแก ก่อนที่ทุกคนในบ้านหลังนี้จะพากันเป็นโรคประสาทเพราะเสียงนาฬิกาปลุกไปกันจนหมด
                                      หญิงสาวเจ้าของห้องยังคงนอนหลับอุตุอยู่ ทั้งๆ ที่มีนาฬิกาปลุกรูปร่างและแบบต่างๆ กันวางอยู่ที่บนหัวเตียงนอนตั้งเจ็ดแปดเรือน และกำลังแข่งกันส่งเสียงปลุกดังระงมไปหมดเลยทีเดียว
                                      แม่บ้านวัยกลางคนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกทีละตัว ขณะที่สาวใช้อีกสี่คนซึ่งมีหน้าที่คอยปฏิบัติรับใช้คุณหนูของบ้านนี้ เดินเรียงแถวเข้ามาในห้องอย่างเป็นระเบียบ
                                      ทุกคนจะใส่กระโปรงชุดสีน้ำเงิน คาดผ้ากันเปื้อนและสวมหมวกคลุมผมสีขาวเหมือนกันหมด พอเข้ามาในห้องแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนด้วยความคล่องแคล่ว ตามที่ได้เคยปฏิบัติมาเป็นประจำอยู่ทุกวัน
                                      บางคนไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำเตรียมไว้ให้คุณหนูอาบ บางคนก็เตรียมผ้าขนหนูและผ้าเช็ดตัวแขวนไว้บนราว บีบยาสีฟันใส่แปรงให้ จากนั้นจึงยืนรอคอยให้คุณหนูลุกมาจากที่นอน
                                      ป้าเลื่อมปิดเสียงนาฬิกาปลุกหมดทุกตัว แล้วมองดูคุณหนูของแกพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย ที่เสียงนาฬิกาปลุกดังจนแก้วหูแทบแตกแบบนี้แล้ว ยังสามารถทนนอนฟังเฉยอยู่ได้
                                      "ลุกขึ้นได้แล้วล่ะค่ะคุณหนู"
                                      "อือ...เดี๋ยวน่าป้า"
                                      ระพีภัทราขยับเปลี่ยนจากท่านอนตะแคงเป็นคว่ำหน้าลง พร้อมกับดึงหมอนที่หนุนศีรษะอยู่เอามาอุดหูเสีย
                                      หล่อนได้ยินหมดแล้วทั้งเสียงนาฬิกาปลุกและเสียงเรียกของป้าเลื่อม แต่ยังขี้เกียจลุกอยู่เพราะใจยังอยากจะขอนอนต่ออีกสักหน่อย อันเป็นความเคยชินซึ่งป้าเลื่อมเองรู้จักนิสัยคุณหนูของแกดีอยู่แล้ว
                                      "เจ็ดโมงเช้าแล้ว รีบลุกขึ้นดีกว่านะคะ"
                                      "ไม่เอาล่ะ...ฉันยังไม่อยากจะตื่นนี่"
                                      "คุณหนูเป็นคนตั้งนาฬิกาปลุกเองไม่ใช่หรอกหรือคะ  เห็นว่าวันนี้จะต้องรีบไปที่มหาวิทยา
ลัยแต่เช้า?"
                                      "จริงด้วย...ฉันนัดยัยชนาภาไว้!"
                                      หญิงสาวทำท่าเหมือนว่านึกอะไรขึ้นมาได้ รีบลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งหัวฟูยุ่ง แต่แล้วเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง หนังตาก็ค่อยๆ หรี่ปรือลงพร้อมกับการทิ้งตัวจะกลับลงไปนอนอีก "ช่างเหอะ...ขอนอนต่อดีกว่า"
                                      "หมดเวลานอนแล้วล่ะค่ะ"
                                      คราวนี้ป้าเลื่อมไม่ยอมให้หล่อนทำตามอำเภอใจ ยื่นแขนไปรองกันเอาไว้ก่อนที่ศีรษะของหญิงสาวจะตกถึงหมอน แล้วช้อนหลังดันให้ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงตามเดิม
                                      หากว่าขืนปล่อยให้หล่อนนอนต่อไปอีก คงต้องว่ากันยาวเลยทีเดียวกว่าจะยอมตื่นได้ ดีไม่ดีอาจจะลากยาวไปถึงเก้าโมงสิบโมงเช้าโน่น
                                      "ถ้าไม่รีบไปส่งรายงานล่ะก้อ มีหวังเป็นเรื่องใหญ่แน่เลยนะคะ"
                                      "รายงาน...?"
                                      "ใช่แล้วล่ะค่ะ รายงานที่คุณหนูไหว้วานเพื่อนช่วยเขียนให้ยังไงล่ะคะ อาจารย์ขีดเส้นตายให้ต้องส่งภายในเช้าวันนี้ไม่ใช่หรือ?"
                                      ป้าเลื่อมต้องช่วยพูดย้ำเตือนความทรงจำของคุณหนู "เพราะเหตุนี้คุณหนูถึงได้เที่ยวหยิบยืมเอานาฬิกาปลุกของใครต่อใครมาตั้งปลุกอยู่นี่ เพราะกลัวว่าจะตื่นไปมหาวิทยาลัยไม่ทันอย่างไรล่ะคะ"
                                      "จริงซิ...รายงานที่ให้ยัยชนาภาช่วยเขียนต้องส่งวันนี้แล้ว"
                                      "งั้นก็รีบลุกขึ้น ไปอาบน้ำอาบท่าเสียทีซิคะ?"
                                      "อือ"
                                      เรื่องนี้ทำให้ระพีภัทราตาสว่างยอมลุกจากที่นอนเดินสะลึมสะลือไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนที่เห็นคุณหนูเลิกงอแง
                                      เพราะว่านี่เป็นรายงานวิชาเอก ซึ่งหล่อนถูกอาจารย์ประจำวิชาคาดโทษไว้ว่า ถ้าไม่ส่งภายในวันนี้แล้วจะตัดสิทธิ์สอบทันที จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษ
                                      ระพีภัทรานั้นเรียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิดเลยก็ได้ เพราะครอบครัวของหล่อนเป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของเมืองไทย
                                      คุณพ่อของหล่อนก็คือ นายดิษย์ มหาศาลสมบัติ ประธานบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์มหาศาล สืบทอดต่อมาจากรุ่นปู่ทวด มีเงินทองทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลสมกับนามสกุลเลยจริงๆ
                                      ด้วยเหตุเช่นนี้เอง ระพีภัทราซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว จึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมดังกับไข่ในหินมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
                                      ไม่ว่าจะทำอะไร หล่อนจะต้องมีคนรับใช้ประจำตัว คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อตอนที่ยังตัวเล็กๆ อยู่นั้นถึงกับต้องมีคนรับใช้ช่วยอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้เลยทีเดียว เพิ่งจะมาอาบเองเอาเมื่อตอนที่เริ่มจะเป็นสาวแล้วนี่เองแหละ
                                      แต่ถึงกระนั้นก็ดี เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว หล่อนยังมีคนรับใช้ส่วนตัวคอยดูแลให้สารพัดอย่างอยู่ ตั้งแต่การหวีผมแต่งหน้าแต่งตา และแม้แต่สวมใส่เสื้อผ้าแต่งเนื้อแต่งตัวให้กับหล่อน
                                      ระพีภัทราแทบจะไม่เคยได้ทำอะไรด้วยตัวของหล่อนเองเลย
                                      แต่การที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจนเกินไปนั้น จึงมีผลเสียทำให้หล่อนกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง เพราะมีแต่คนคอยตามใจ
                                      จะมีก็เพียงป้าเลื่อมคนเดียวเท่านั้นเอง ที่หล่อนให้ความยำเกรง เพราะว่าป้าเลื่อมเป็นผู้ที่
เลี้ยงดูคอยเอาใจใส่ในตัวหล่อนอย่างใกล้ชิด แทนบิดามารดาของหล่อนมาตั้งแต่เล็ก และเป็นคนเดียวที่หล่อนจะปรึกษาหารือได้ทุกเรื่อง
                                      คุณดิษย์นั้นวันๆ จะเอาแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจของบริษัท ส่วนคุณกานต์ผู้เป็นมารดานั้น ชอบเอาแต่เข้าสังคมวงไฮโซ จึงแทบจะไม่ได้มีเวลามาเอาใจใส่กับลูกสาวคนนี้เลย
                                      ระพีภัทราถึงแม้ว่าจะมีความเป็นอยู่ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ แต่ขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว อันเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนชอบทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ
                                      วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อระพีภัทราแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยลงมา เจอแต่มารดานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตัวใหญ่ตามลำพังคนเดียว
                                      โต๊ะรับประทานอาหารของบ้านหลังนี้นั่งได้เต็มที่ถึงยี่สิบสี่คน มันจึงแลดูค่อนข้างจะโดดเดี่ยวอยู่ไม่ใช่น้อยที่มีมารดาของหล่อนนั่งอยู่คนเดียวตรงหัวโต๊ะ ถึงจะมีสาวใช้คอยยืนรับใช้อยู่อีกถึงสองคนก็ตาม
                                      "คุณพ่อล่ะคะ?"
                                      "ไปบริษัทตั้งแต่เช้าแล้ว ประเดี๋ยวแม่ต้องรีบไปอยู่เหมือนกัน"
                                      คุณกานต์ยกแก้วนมสดพร่องมันเนยขึ้นจิบดื่ม ถึงวัยจะขึ้นต้นด้วยเลขสี่แล้วแต่รูปร่างยังดูดี เพราะคอยควบคุมดูแลเรื่องน้ำหนักอยู่อย่างสม่ำเสมอ
                                      ระพีภัทราเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า มารดาของหล่อนอยู่ในชุดเตรียมพร้อมที่จะออกจากบ้าน ประดับเครื่องเพชรแพรวพราวเสียเต็มตัว
                                      "คุณแม่จะออกไปไหนหรือคะ?"
                                      "แม่มีประชุม ภรรยาของท่านรัฐมนตรีคลังต้องการให้แม่ไปเป็นกรรมการงานราตรีสโมสรเพื่อหารายได้ช่วยเหลือเด็กยากจนในถิ่นทุรกันดารน่ะจ้ะ"
                                      "แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ?"
                                      "อาจจะดึกหน่อย เพราะต้องไปงานเลี้ยงวันวันแซยิดของภรรยาเจ้าสัวอีกด้วย"
                                      "ว้า...แปลว่าเย็นนี้หนูต้องทานข้าวคนเดียวอีกซีนะคะ?"
                                      "มันจำเป็นน่ะจ๊ะลูก..."
                                      คุณกานต์เห็นลูกสาวทำหน้าม่อย จึงลุกมาจุมพิตที่หน้าผากนิดหนึ่งเป็นการเอาใจ "บ้านเรามีคนรับใช้ออกตั้งเยอะแยะ ลูกอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่กันล่ะ?"
                                      "แต่มันไม่เหมือนกันนี่คะ หนูอยากจะทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง ไม่เคยมีสักวันที่เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลยนะคะ"
                                      "คุณพ่อเขาต้องมีงานยุ่งทุกวัน ส่วนแม่เดี๋ยวก็ประชุมติดงานเลี้ยงเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าลูกเหงาล่ะก้อชวนเพื่อนไปเดินช็อปปิ้งดูหนังบ้างก็ได้นี่ แม่ต้องรีบไปล่ะเดี๋ยวสายรถจะติดมาก...บ๋ายบายจ๊ะ"
                                      คุณกานต์รีบลุกออกจากห้องไป โดยที่ไม่ได้สนใจว่าลูกสาวจะมีความรู้สึกอย่างไร เพราะมีความเป็นห่วงงานสังคมของตนเองมากกว่า
                                      "รีบทานอาหารเช้าให้เสร็จ แล้วไปมหาวิทยาลัยดีกว่านะคะคุณหนู"
                                      เห็นระพีภัทรานั่งหน้ามุ่ยอยู่ ป้าเลื่อมจึงเดินเข้ามาบอกกับหล่อน ขณะที่สาวใช้คนหนึ่งจัดแจงรินน้ำส้มคั้นจากเหยือกใส่แก้วให้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยกถาดเงินมีฝาครอบมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดฝาหยิบชามโจ๊กหมูใส่ไข่ออกมาวางเสิร์ฟให้กับหล่อนตรงหน้า
                                      พอหล่อนแลเห็นว่ามีขิงซอยและผักชีต้นหอมหั่นฝอยโรยหน้าอยู่ รีบเอาช้อนเงินจัดแจงเขี่ยออกจากชามทันที แม่บ้านวัยกลางคนจึงต้องพูดเตือนขึ้นมา
                                      "อย่าเขี่ยผักทิ้งแบบนั้นซีคะคุณหนู"
                                      "แต่ผักมันขม ฉันไม่ชอบนี่ป้า"
                                      "ขมแต่มีประโยชน์ ทานผักเยอะๆ มันจะเป็นการดีต่อสุขภาพของคุณหนูนะคะ"
                                      "ดียังไงก็ไม่เอา"
                                      ระพีภัทราวางช้อนลงบนโต๊ะทำท่าว่าจะไม่ยอมกิน ป้าเลื่อมเห็นว่าหล่อนกำลังงอนคุณแม่อยู่ เลยต้องยอมตามใจเพราะอยากให้ได้ทานอาหารเช้าก่อนที่จะไปมหาวิทยาลัย
                                      ถึงแม้ว่าแกจะใช้ความพยายามอย่างไร แต่ไม่สามารถที่จะดัดนิสัยไม่ชอบกินผักของระพีภัทราได้เลยสักที
                                      ขณะที่ระพีภัทรากำลังจะหยิบช้อนตักโจ๊กในชามใส่ปาก เรื่องที่ไม่คาดฝันพลันบังเกิดขึ้นมา
                                      มีแมลงสาบตัวหนึ่งคลานออกมาจากที่ใต้พรมปูพื้น แล้วเดินลิ่วๆ ตรงดิ่งมาที่โต๊ะอาหารอย่างทระนงองอาจ พอหล่อนเหลือบสายตาไปเห็นเข้าเท่านั้นเองแหละ รีบทิ้งช้อนหวีดร้องออกมาด้วยความตกอกตกใจกลัวเสียงดังลั่น
                                      "กรี๊ดดดดดดดดด!!"
                                      ไม่ใช่แค่ร้องอย่างเดียว หล่อนยังรีบลุกพรวดพราดและปีนขึ้นไปยืนตัวสั่นงันงกอยู่บนโต๊ะ อาหาร ทำเอาทุกคนในที่นั่นแตกตื่นโกลาหลเป็นยกใหญ่
                                      "มีอะไรคะคุณหนู!??"
                                      "แมงสาบ...มีแมลงสาบ!!"
                                      ระพีภัทรายังไม่ยอมหยุดส่งเสียงร้องกรี้ดๆ หลับหูหลับตาชี้มือให้ป้าเลื่อมดูที่พื้นพร้อมกับกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ
                                      เจ้าแมลงสกปรกโสโครกตัวเล็กๆ นี้ มันเป็นสิ่งที่หล่อนขยะแขยงและชิงชังที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
                                      ป้าเลื่อมเห็นแมลงสาบตัวนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับบรรดาสาวใช้ในบ้าน ที่พากันวิ่งมาดูเหตุการณ์หน้าตาตื่นอยู่
                                      "เร็วเข้า...รีบจัดการเอามันไปให้พ้นๆ คุณหนูเดี๋ยวนี้!" 
                                      "เจ้าค่ะ!"
                                      พวกสาวใช้ย่อเข่าลงเล็กน้อยเป็นการรับคำสั่ง ก่อนที่จะพากันวิ่งกันควั่กไปหาไม้กวาด ไม้ถูพื้น หรืออะไรที่สามารถจะหยิบฉวยได้ เพื่อเอามาต่อกรกับเจ้าแมลงสาบตัวนี้
                                      ทุกคนต่างมีความชิงชังและขยะแขยงแมลงสาบไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อนี่มันเป็นคำสั่งจากคุณแม่บ้านผู้มีอำนาจใหญ่ในบ้านหลังนี้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะขัด
                                      ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าแมลงสาบตัวที่เป็นปัญหามันคงจะตกใจกับเสียงที่ร้องกรี้ดๆ ของระพีภัทรา ทำให้มันวิ่งพล่านไปรอบๆ ห้องเลย
                                      "ไปนะไป...ชูว์ๆ!"
                                      สาวใช้คนหนึ่งทำใจกล้า ถือฝาถาดเงินเป็นโล่ห์และไม้ขนไก่ปัดฝุ่นเป็นอาวุธเดินย่องเข้าไปหาเจ้าแมลงสาบ ที่มันกำลังวิ่งพล่านอย่างตื่นตระหนกอยู่พร้อมกับออกปากขับไล่
                                      แต่พอเจ้าแมลงสาบมันเปลี่ยนทิศทางวิ่งตรงรี่เข้ามาหาเท่านั้นเอง    หล่อนก็รีบกระโดดเหย็งถอยหนี พร้อมกับหวีดร้องเสียงดังลั่น
                                      "กรี๊ดดดดด!!"
                                      "ว๊ายยยยยย!"
                                      เสียงหวีดร้องของบรรดาสาวใช้ดังระงมไปทั้งห้อง เมื่อเจ้าแมลงสาบตัวนั้นมันวิ่งเข้าไปหา ต่างได้แต่กระโดดหนีกันด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครสักคนกล้าพอที่จะลงมือจัดการกับมันอย่างจริงจัง
                                      "รีบจัดการกับมันซี่...เร็วๆ เข้า!!"
                                      เสียงแม่บ้านวัยกลางคนตะโกนออกคำสั่งแข่งกับเสียงหวีดร้องของพวกสาวใช้ แต่ตัวป้าเลื่อมเองก็น้อยเสียเมื่อไหร่ พอเจ้าแมลงสาบมันวิ่งไปทางแกเท่านั้นเองแหละ แกกระโจนพรวดขึ้นไปยืนกอดกับคุณหนูตัวสั่นอยู่บนโต๊ะกินข้าวเสียแล้ว
                                      "เกิดอะไรกันขึ้นหรือครับ!??"
                                      พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคน ได้ยินเสียงหวีดร้องของพวกสาวๆ รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดูเหตุการณ์ ป้าเลื่อมจึงชี้มือไปที่แมลงสาบบนพื้น
                                      "มีแมลงสาบอยู่ที่นี่...นั่นไง!"
                                      "ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเอง!"
                                      รปภ.หนุ่มคนหนึ่งขานรับอาสา พร้อมกับปลดปืนพกแม็กนั่ม .357 อันเป็นอาวุธประจำกายออกจากซองคาดที่เข็มขัด แต่อีกคนหนึ่งเห็นเพื่อนทำเช่นนั้นรีบร้องห้ามเสียงหลง
                                      "เฮ้ย...นั่นมึงจะทำอะไรน่ะ!??"
                                      "ก็จะยิงให้มันเละไปเลยน่ะซีวะ!"
                                      "มึงจะบ้าเร๊อะ...แค่แมลงสาบตัวเดียวเนี่ยนะ?"
                                      รปภ.หนุ่มคนนั้นเพิ่งจะนึกขึ้นได้ รีบเก็บปืนพกเข้าที่เดิมแล้วดึงไม้กระบองออกมาแทน พร้อมกับเดินย่างสามขุมเข้าไปหาเจ้าแมลงสาบเคราะห์ร้าย
                                      คนหนึ่งดักทางซ้ายอีกคนหนึ่งดักทางขวา พอมันวิ่งไปหาใครก็จะโดนเอาไม้กระบองหวดฟาดลงไป
                                      นี่แน่ะๆ!!"
                                      ตุ้บตั้บๆ!
                                      แต่เจ้าแมลงสาบมันไวทายาท  สามารถรอดหนีพ้นจากไม้กระบองมาได้ทุกที  และยังคง
วิ่งพล่านไปมาสร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกสาวๆ อยู่ในห้อง
                                      ปุ่บ!
                                      ในที่สุดมันก็หนีไม่พ้น เมื่อโดนฝ่ามืออันหยาบกร้านและใหญ่โตของลุงพงษ์คนขับรถที่เข้ามาตะปบลงไปจับตัวมันเอาไว้ได้ เป็นการยุติความโกลาหลลงเสียที
                                      ชายสูงอายุใช้นิ้วมือจับหนวดของเจ้าแมลงสาบซึ่งโดนน็อคไปเพราะแรงตบของแก และชูขึ้นมาให้ทุกคนดูอย่างไม่ได้มีท่าทางแสดงความขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย
                                      "เอามันออกไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะตาพงษ์!"
                                      "จ้ะ,แม่เลื่อม!"
                                      แกพยักหน้าหงึก ก่อนที่จะถือแมลงสาบตัวนั้นเดินผิวปากออกจากห้องไป พร้อมกับรปภ.หนุ่มทั้งสองคน เหตุการณ์ทุกอย่างจึงกลับคืนเข้าสู่ภาวะปรกติ
                                      เมื่อมามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทำเอาระพีภัทราถึงกับทานข้าวไม่ลงเสียแล้ว บรรดาคนรับใช้ในบ้านต่างจึงพากันมายืนเข้าแถวเพื่อคอยส่งคุณหนูที่หน้าประตู ซึ่งลุงพงษ์คนขับรถจะนำรถเบนซ์มาจอดเทียบรอรับตรงเชิงบันไดของคฤหาสน์พอดี
                                      ลุงพงษ์แกเป็นสามีของป้าเลื่อม และนับว่าเป็นข้าเก่าข้าแก่ของบ้านนี้ คุณดิษย์จึงได้ไว้วางใจให้เป็นคนขับรถคอยรับคอยส่งระพีภัทรา และทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหล่อนไปในตัว ส่วนเรื่องในบ้านนั้นจะมอบหมายหน้าที่ให้ป้าเลื่อมเป็นคนดูแลทั้งหมด
                                      มหาวิทยาลัยเอกชนที่ระพีภัทราเรียนอยู่นั้น ตั้งอยู่แถวชานเมือง และตึกเรียนแต่ละวิชาก็อยู่ห่างไกลกันมาก ลุงพงษ์จึงต้องขับรถไปส่งคุณหนูของแก และยังคอยอยู่ขับรถรับส่งคุณหนูระหว่างตึกเรียนอีกด้วย จนกว่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วนั่นแหละถึงจะหมดหน้าที่ของแก
                                      และเพราะความร่ำรวยของตระกูลมหาศาลสมบัติ จึงได้อภิสิทธิ์มีที่จอดรถส่วนตัวโดยเฉพาะที่ตึกคณะในมหาวิทยาลัย
                                      แต่เช้านี้ พอลุงพงษ์ขับรถมาถึงกลับปรากฏว่า มีรถเก๋งโตโยต้าคัมรี่สีตะกั่วมาจอดอยู่ในที่จอดรถส่วนตัวของแกเสียแล้ว
                                      โชเฟอร์วัยสูงอายุจึงจำเป็นต้องขับรถเลยไปส่งคุณหนูที่หน้าตึก และหาที่จอดรถใหม่รอจนกว่าเจ้าของรถคันนี้จะมาเอารถไปแล้ว จึงจะกลับมาจอดยังที่เดิม
                                      แต่ระพีภัทราเห็นว่าลุงพงษ์ไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันจึงเกิดความสงสัย
                                      "อ้าว...ทำไมไม่เอารถเข้าไปจอดเลยล่ะลุง?"
                                      "มีรถคนอื่นมาจอดอยู่ ผมจะขับไปส่งคุณหนูตรงหน้าตึกก่อนน่ะครับ"
                                      หล่อนเหลียวไปมองดูเห็นว่ามันเป็นความจริงตามที่ลุงพงษ์แกบอกมา ความฉุนเฉียวมีโมโหพลันบังเกิดขึ้นในทันที
                                      "ไม่ต้องหรอกลุง จอดรถเดี๋ยวนี้!"
                                     













           

                                   


                                   





                                                                                                                                                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น