คุณหนูไฮโซตกกระป๋อง
โดย...เจิด จินตนา
ตอนที่ 4...
พอได้ยินเสียงของนายกวิน
ธีร์ธวัชเหลือบตาไปมองและเห็นลูกบอลกำลังพุ่งลอยตรงมาหาเขา จึงพอที่จะรู้จุดประสงค์ของเพื่อน
เขาพลิกตัวเตรียมตั้งรับ
เล็งจังหวะให้ดีแล้วยกเท้าวาดวงสวิงเตะบอลลูกนั้นออกไปอย่างเต็มเหนี่ยว
ผลั๊วะ...ฟ้าววววววว!
บึ่ก!
"อุ๊ฟฟฟ์!!"
นายต่อตัวงอเป็นกุ้งไปเลย
เมื่อบอลลูกนั้นอัดเข้าที่หน้าท้องของเขาอย่างแรง
ทำเอาหนุ่มวิศวะเกิดอาการเข่าอ่อนล้มทรุดลงไปนอนจุกแอ้กอยู่ที่พื้น
"ว้าว...เจ๋งเป้งไปเลย!"
เกวลีและบรรดานักศึกษาหญิงที่ยืนดูอยู่ข้างสนาม
ต่างตบมือกันเกรียวแสดงความพึงพอใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นธีร์ธวัชสามารถสยบสองนักศึกษาอันธพาลลงไปได้อย่างสวยสดงดงามอย่างนั้น
นายโดมได้แต่ตกตะลึงยืนมองอ้าปากค้างอยู่
เพราะนึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์มันจะเกิดพลิกผันมาลงเอยเป็นแบบนี้
ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า
ฝีไม้ลายมือของชายหนุ่มหน้ามลจะรุนแรงและร้ายกาจถึงปานนี้ พอธีร์ธวัชเหลือบสายตามามองหน้า
เขาจึงเกิดอาการสะดุ้งผวาและรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ขึ้นมาในทันที
คนอย่างนายโดมนั้น
เก่งแต่ที่จะอวดอำนาจบารมีว่าเป็นลูกชายของนักการเมืองใหญ่โต
และอาศัยมือของลิ่วล้อรังแกชาวบ้านเท่านั้น
หาได้มีความกล้าที่จะลงมือทำด้วยตัวเองไม่
ที่คิดว่าจะมาสั่งสอนชายหนุ่มเลยต้องเปลี่ยนใจ
รีบหันหลังกลับจ้ำอ้าวๆ เดินหนีไปเสีย
ก่อนที่จะต้องเจ็บตัวเหมือนกับนายต่อและนายมัด ที่กำลังนอนแอ้งแม้งให้เห็นอยู่
แต่ก่อนที่นายโดมจะเดินออกไปพ้นจากสนามฟุตบอล
นายกวินซึ่งเห็นแล้วเกิดความหมั่นไส้ จึงรีบวิ่งไปเก็บลูกบอลที่กลิ้งตกอยู่บนพื้นมาถือไว้
คราวนี้เขาไม่ส่งลูกไปให้เพื่อน
แต่จะขอเป็นคนแสดงฝีมือเองบ้าง
จัดแจงโยนลูกบอลให้ลอยออกจากมือแล้วง้างเท้าเตะลูกอย่างเต็มเหนี่ยว
ผลั๊วะ!
"โอ้ย!!"
แรงชู้ตทำให้ลูกบอลลอยพุ่งเข้าไปปะทะกับท้ายทอยของนายโดมซึ่งกำลังหันหลังเดินหนีอยู่
และส่งผลให้หนุ่มวิศวะขี้เก๊กถลาหน้าคว่ำลงจูบพื้นอย่างแรง
รู้สึกมึนงงตาลาย
มองเห็นดาวพร่างพรายระยิบระยับเต็มไปหมดเลยทีเดียว ใบหน้านั้น
เลอะเทอะมอมแมมไปด้วยขี้ฝุ่นจนหมดหล่อไปเลย
และพอเอามือเช็ดที่มุมปาก แลเห็นเลือดของตัวเองที่มันกำลังไหลปรี่ออกมาเท่านั้นเองแหละ
ตาเหลือกถลนแทบช็อก ร้องเอะอะโวยวาย
"เลือด!!...ตายแล้ว ไอ้ต่อ ไอ้มัด ช่วยกูด้วยโว้ยเร็วเข้า...กูตายแน่แล้ว!!"
เสียงร้องที่เหมือนควายโดนเชือดของลูกพี่
ทำเอาสองหนุ่มที่กำลังมึนงงเพราะลูกชู๊ตของธีร์ธวัชต้องรีบตาลีตาเหลือกลุกขึ้นเข้าไปดูอาการ
ทั้งคู่ก็เห็นว่าที่ริมฝีปากล่างของนายโดมมีรอยแตก
อันสืบเนื่องมาจากการเอาใบหน้าที่หล่อเหลาไปไถกับพื้นดิน
มันไม่ได้เป็นแผลใหญ่โตอะไรนัก
แต่นายโดมกลับแหกปากร้องเสียเหมือนกับว่าจะเป็นจะตาย
นายโดมเห็นว่าลูกน้องเอาแต่มายืนมองดู
ไม่ได้ช่วยเหลือทำอะไรให้เขารู้สึกมีโมโห
"มัวยืนเซ่อดูหอกอะไรอยู่วะ
ช่วยพยุงกูลุกขึ้นทีซิโว้ย!"
"เป็นไงบ้างครับพี่โดม?"
นายต่อกับนายมัดกำลังตกอกตกใจเพราะเสียงร้องของลูกพี่อยู่
พอได้สติจึงช่วยกันประคองให้นายโดมให้ลุกขึ้นยืน
และปัดเศษฝุ่นผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าให้อย่าประจบประแจง
"เจ็บน่ะซีโว้ย
ถามได้!"
นายโดมตวาดเอาอย่างนึกฉุน
ก่อนที่จะเหลียวไปมองหน้าธีร์ธวัชด้วยสายตาอาฆาตแค้น "ฮึ่ม...ฝากเอาไว้ก่อนเถอะวะมึง!"
"ขอโทษนะ...ผมไม่รับฝากเรื่องที่ไร้สาระให้มันมารกสมองหรอกครับ" ชายหนุ่มยังคงยืนวางมาดสุขุมเหมือนเดิม
"เออ...ห้ามแกไปยุ่งกะคุณระพีภัทราอีกก็แล้วกันนายธีร์!"
"วางใจได้เลย
ผมไม่ได้เคยคิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับคุณระพีภัทราเลยนะ
เธอเป็นฝ่ายที่มาหาเรื่องกับผมเองมากกว่า"
"พี่ธีร์น่ะเค้ามีคู่หมายอยู่แล้ว
ยัยระพีภัทราไม่เคยอยู่ในสายตาของเค้าหรอกนะยะ"
เกวลีรีบเข้าไปยืนคล้องแขนชายหนุ่ม
เหมือนกับว่าจะประกาศตัวแสดงความเป็นเจ้าของให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ไว้
**********
"แหม...ยังหม่ำไอติมไม่ทันหายอยากเลย ไม่รู้จะรีบไปไหนกันซี่?"
ติ๋มบ่นกระปอดกระแปดขณะที่โดนพวกเพื่อนๆ
ลากตัวออกมาจากร้านไอศคริมในห้างสรรพสินค้าอันใหญ่โตย่านรังสิต
"พาออกมาเดินย่อยอาหารมั่งนะซีวะนังติ๋ม
เอาแต่นั่งกินเป็นชูชกเดี๋ยวท้องแตกตายหรอกมึง" เปรียวหันไปมองค้อนเพื่อนสาวหุ่นตุ้ยนุ้ย
"ฉันเพิ่งกินไอติมมะม่วงไปถ้วยเดียวเองนะยะหล่อน"
"แต่เธอล่อไก่ทอดไปคนเดียวตั้งห้าชิ้น
แถมยังฟาดเฟร้นซ์ฟรายอีกตั้งถุงใหญ่ แค่นี้มันยังไม่พออีกหรือวะ?"
"แหม...ไอ้พีมันอุตส่าห์พามาเลี้ยงทั้งที"
"ไอ้พีมันพาพวกเรามาเดินห้างทีไร
ฉันเห็นหล่อนคอยสนใจแต่เรื่องกินอย่างเดียวเท่านั้นทุกทีแหละ"
"เออใช่...สั่งเอาๆ ไม่มีความเกรงใจเจ้ามือเสียมั่งเลยเนอะ" ชนาภาพลอยผสมโรงออกปากพูดตำหนิ
"ช่างเหอะน่า
ฉันเต็มใจจะเลี้ยงเองแหละ อย่าไปทับถมไอ้ติ๋มมันกันเลยนะ"
ระพีภัทรารีบเข้ามาเบรคพวกเพื่อนๆ
ของหล่อนด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
การที่ได้มาเดินเที่ยวห้างกับพวกเพื่อนสนิทมันเป็นความสุขเล็กๆ
น้อยๆ ของหล่อน อย่างน้อยหล่อนยังได้หัวเราะสนุกสนานเบิกบานใจ
ดีกว่าที่จะนั่งหงอยเหงาอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตตามลำพัง
"ช่างได้ไงกันล่ะพี
นังติ๋มมันชักใกล้น้องๆ ฮิปโปเข้าไปทุกทีแล้ว ขืนตามใจมันบ่อยๆ
มีหวังส่งเข้าประกวดธิดาช้างได้เลย"
คำพูดของชนาภาเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากระพีภัทราและเปรียวได้ไม่เบาเลยทีเดียว
ยกเว้นเจ้าตัวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้นแหละ
ที่หันมามองค้อนเพื่อนทำตาปะหลับปะเหลือก
"มากไปมั้งภา"
ระพีภัทราพูดกลั้วรอยยิ้ม
พอดีเดินผ่านหน้าร้านขายอุปกรณ์กีฬาและเครื่องออกกำลังกาย
เห็นว่าที่ตรงหน้าร้านมีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบหยอดเหรียญตั้งอยู่
หล่อนจึงค้นกระเป๋าถือล้วงเหรียญบาทออกมา "อยากรู้ลองให้ไอ้ติ๋มมันชั่งน้ำหนักดูดี้"
"เฮ้ย,บ้าน่า...คิดดีแล้วเหรอ
เดี๋ยวเครื่องชั่งของเค้าเกิดพังขึ้นมาล่ะก้อ ยุ่งตายห่ะเลย!"
ดูจากลักษณะของเครื่องชั่งเมื่อเทียบกับตัวเพื่อนแล้ว
ชนาภารีบคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างชนิดหัวชนฝา เลยถูกติ๋มมองค้อนเอาตาแทบพลิก
"น้อยๆ หน่อยโว้ยนังภา
ฉันหนักแค่สามสิบแปดกิโลเองนะยะ จะบอกให้!"
"หุ่นอย่างแกเนี่ยนะ!??"
"เออซีวะ...อีกห้าสิบกิโลฉันฝากแบงก์ไว้โว้ย!"
คราวนี้ยัยติ๋มเป็นฝ่ายเรียกเสียงหัวเราะครืนจากพวกเพื่อนๆ
เสียเอง
"เฮ้ยๆ...มาทางนี้กันดีกว่าว่ะ"
ใกล้ๆ
กับเครื่องชั่งน้ำหนักนั้น มีเครื่องพยากรณ์ดวงชะตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ติดตั้งอยู่
มันดึงดูดความสนใจจากเปรียวไม่ใช่น้อยจนต้องหันไปกวักมือเรียกพวกเพื่อนๆ มาดูกัน
ลักษณะของเครื่องนั้นคล้ายกับเครื่องหยอดเหรียญจอดรถข้างถนน
มีหน้าจอมอนิเตอร์บอกถึงขั้นตอนในการดูดวงไว้เสร็จสรรพ ว่าจะต้องใช้เหรียญอะไรและกดปุ่มอย่างไรบ้าง
"เครื่องดูดวง
เออ...เข้าท่าว่ะแฮ๊ะ!"
เรื่องหมอดูกับผู้หญิงนั้นมันเป็นของที่ถูกกันอยู่แล้ว
พอมาเห็นเข้าเท่านั้นชนาภานึกชอบ
ทันที "ลองดูหน่อยดีเหมือนกัน"
จัดแจงล้วงกระเป๋าสตางค์หาเหรียญสิบบาทมาหยอดลงไป
แล้วกดวันเดือนปีเกิดของตัว
เองป้อนใส่เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
เพียงครู่เดียวเท่านั้นเอง
เครื่องก็เลือกคำทำนายเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ เท่ากับกระดาษสมุดโน้ตออกมาให้
เจ้าตัวรีบหยิบไปอ่านดูแล้วยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
"คำทำนายว่าไงมั่ง?"
เปรียวยื่นหน้าสอดแทรกเข้ามาดู
"ดีจังว่ะ...ในนี้เขียนไว้ว่า ฉันจะได้พบเจอเนื้อคู่ที่ถูกใจในเร็วๆ นี้"
"เหรอ...งั้นฉันขอดูมั่งดี้!"
ยัยเปรียวเอาบ้าง
รีบหยอดเหรียญลงไป และได้รับคำตอบออกมาทำให้เป็นที่พึงพอใจเช่นเดียวกัน
"โอ้โห...ปีนี้ฉันจะมีโชคมีลาภแบบชนิดที่ไม่คาดฝันเลยเชียวแน่ะว่ะ...ยอดจริงๆ!"
"ไหนๆ ฉันดูมั่งดี้!"
ยัยติ๋มไม่ยอมน้อยหน้า
หยอดเหรียญใส่ไปในตู้แล้วกดวันเดือนปีเกิดของตนเองป้อนใส่เข้าไป
รับแผ่นคำทำนายออกมาอ่านดูแล้วยืนหน้าแดงอายม้วนต้วน
ท่าทางของหล่อนชวนให้เป็นที่สงสัยของยัยเปรียวอยู่ไม่น้อย
"เป็นไงล่ะ...ของแกเค้าว่าไง?"
"เค้าว่า...ฉันจะได้แฟนเป็นชายหนุ่มรูปหล่อนน่ะ...แหมเขินจังว่ะ!"
“ช้างน้ำอย่างมึงเนี่ยนะ!??"
เปรียวฟังแล้วได้แต่ทำตาปริบๆ
"เธอไม่ลองดูกับเค้ามั่งเหรอพี?"
เห็นระพีภัทราเอายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
ชนาภาจึงหันมาพูดชวน แต่หญิงสาวกลับสั่นหน้าปฏิเสธ
"ไม่เอาหรอก"
"ทำไมวะ?"
"บ้านฉันมีทุกอย่างอยู่แล้ว
ไม่รู้จะดูมันไปทำไม"
"เอาน่า...อย่าน้อยก็ดูเรื่องเนื้อคู่ว่าเป็นยังไงบ้าง ปีนี้จะได้เจอรึป่าว
ลองหน่อยดี้...นะ?"
**********
ในห้องทำงานของคุณอุทัย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงสยาม ถึงแม้ว่าจะเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ
แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและร้อนรุ่ม เมื่อคุณดิษย์ กรรมการผู้จัดการ
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาศาล มาขอเข้าพบเพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจ
"อันที่จริง ฉันก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรหรอกนะ
ที่จะเซ็นอนุมัติเงินกู้ก้อนนี้ให้กับดิษย์"
คุณอุทัยบอกกับคุณดิษย์ซึ่งเป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน
ทำให้อีกฝ่ายนั้นสีหน้าชักเริ่มไม่ค่อยสู้จะดีนักขึ้นมา
"แล้วมันมีเหตุขัดข้องที่ตรงไหนกันหรือ?"
"คือว่าอย่างงี้นะ..."
นายแบงก์ใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ด้วยท่าทางที่อึกอักบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังรู้สึกลำบากใจ "นายรู้ดีอยู่แล้วว่า หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว
เศรษฐกิจของเมืองไทยเราจึงอยู่ในอาการย่ำแย่ทรุดหนักลงเรื่อยมาตลอด"
"เพราะอย่างงี้น่ะซี
ฉันจึงมีความจำเป็นต้องมาขอกู้เงินจากนาย เพื่อที่จะไปประคับประคองฐานะของบริษัท
ไม่ให้มันล้มพับลงไป"
"ฉันน่ะเข้าใจดีว่านายกำลังลำบากมาก
ถ้าหาเงินไปเพิ่มทุนไม่ได้บริษัทของนายก็ต้องปิดกิจการแน่ แต่ว่า..."
"แต่อะไรหรือวะ?"
"หลังจากที่รัฐบาลต้องยื่นขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ
ทางแบงก์ชาติและกระทรวงการคลังเลยมีคำสั่งออกมาว่า
ให้ธนาคารระงับการปล่อยเงินกู้เอาไว้ก่อน จนกว่าจะสำรวจหนี้เสียของระบบการเงินทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว"
คุณอุทัยอธิบายสาเหตุให้อีกฝ่ายฟัง
"ฉันเห็นใจดิษย์จริงๆ แต่ไม่กล้าที่จะขัดขืนคำสั่งของแบงก์ชาติหรอก"
"อือ...ฉันเข้าใจดี"
น้ำเสียงของคุณดิษย์นั้นแหบพร่าด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
เมื่อการเจรจาขอกู้เงินมีทีท่าว่าจะไม่สัมฤทธิ์ผลเสียแล้ว
"ฉันว่าดิษย์ลองติดต่อกับแบงก์อื่นดูบ้างดีกว่านะ"
"เห็นจะหมดหวังเสียแล้วล่ะอุทัย
ขนาดแกกับฉันซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน ยังไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ แล้วแบงก์ไหนล่ะที่จะกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย?"
"ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
ที่ช่วยอะไรดิษย์ไม่ได้"
คุณอุทัยลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้ามาโอบไหล่เพื่อนรัก
พาเดินไปที่ประตูห้องทำงานเพื่อจะส่งแขกของเขา "เวลานี้มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ฉันจะแนะนำนายได้"
"อะไรหรือ?"
"ปิดกิจการบริษัทของนายเสีย
ก่อนที่จะโดนแบงก์ชาติมายึดเอาไป"
"ฉันเห็นจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ"
"ทำไมล่ะ
ตอนนี้ใครๆ เขาก็ใช้วิธีล้มบนฟูกกันทั้งนั้น?"
"เงินทุกบาททุกสตางค์ที่บริษัท
มันเป็นเงินของลูกค้าที่เอามาฝากไว้ หน้าฉันยังไม่ด้านพอที่จะโกงพวกเขาเอาดื้อๆ
อย่างนั้นหรอก"
ถึงแม้ว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะที่เข้าตาจนแล้ว
แต่ในจิตใจของคุณดิษย์นั้นยังมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่
**********
เพราะทนการคะยั้นคะยอจากพวกเพื่อนๆ
ไม่ได้ ระพีภัทราจึงจำใจลองดูดวงชะตาของตนเองจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้บ้าง
หลังจากที่หยอดเหรียญสิบบาทลงไป
และกระทำตามขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้นหมดแล้ว คำทำนายก็ออกมาจากตัวเครื่อง
หญิงสาวหยิบเอาไปอ่านดูด้วยท่าทางที่เนือยๆ
ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก และคำทำนายมีอยู่ว่า
"เกณฑ์ชะตาของท่านในระยะนี้กำลังจะพบกับความยากลำบาก
จะได้รับข่าวร้ายและระวังสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของมีค่า"
พออ่านดูแล้วถึงกับยืนงงไปเลย
ไม่ได้คิดว่าคำทำนายโชคชะตาของหล่อนจะออกมาในลักษณะนี้ ทั้งๆ ที่พวกเพื่อนๆ
คนอื่นนั้นต่างได้รับแต่ใบที่ดีๆ กันทั้งนั้น
"เขาว่าไง?"
ชนาภายื่นหน้าเข้ามาถาม
หล่อนจึงส่งคำทำนายแผ่นนั้นไปให้อ่านดูเอาเอง ซึ่งพอได้อ่านแล้วทำให้หญิงสาวเกิดอาการงุนงงไม่แพ้กัน
"เฮ้ย...ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะวะ!??"
"นั่นซี...มันเป็นไปไม่ได้หรอก...เช๊อะ!"
ระพีภัทราไม่มีทางยอมเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า
ลูกสาวมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจนล้นฟ้าอย่างหล่อนจะต้องพบกับความยากลำบากตามคำทำนายนั้น
คำทำนายถูกส่งต่อให้เพื่อนๆ
ดูกันจนครบทุกคน และต่างมีความเห็นว่า มันไม่น่าที่จะเป็นไปเช่นเดียวกัน
"คงมีอะไรผิดพลาดแน่เลยว่ะ
ลองดูใหม่อีกทีซิวะพี"
ชนาภาให้คำแนะนำ
ซึ่งหล่อนเห็นว่ามันไม่น่าเสียหายอะไร จึงได้ลองหยอดเหรียญเข้าไปอีกครั้ง
และได้คำทำนายใบใหม่ออกมามีใจความว่า
"เกณฑ์ชะตาของท่านในระยะนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย
ทุกสิ่งรอบกายนั้นล้วนมืดมนไปหมด จะหาความสุขกายสุขใจไม่ได้เลย"
"อะไรวะ!??"
คราวนี้พออ่านแล้วระพีภัทราเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาอย่างรุนแรง
จัดแจงควานหาเหรียญสิบบาทในกระเป๋าถือเอามาหยอดใส่ตู้ใหม่
ไม่ยอมเชื่ออยู่ดีว่า
ชะตาชีวิตของหล่อนจะเลวร้ายไปตามคำทำนาย
คำทำนายของใบที่สามนั้นกลับเลวร้ายหนักเข้าไปอีก
"เกณฑ์ชะตาของท่านในระยะนี้จะพบแต่ความวิบัติล่มจม
ฐานะความเป็นอยู่จะย่ำแย่ตกต่ำลง เหมือนกับดิ่งลงเหวลึกไปเลยทีเดียว"
"เป็นไปไม่ได้...มันเป็นไปไม่ได้!!"
ระพีภัทราฉีดคำทำนายใบนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความโมโห
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น