วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คุณหนูไฮโซตกกระป๋อง ตอนที่ 4

คุณหนูไฮโซตกกระป๋อง
โดย...เจิด จินตนา                                         
ตอนที่ 4...



                                      พอได้ยินเสียงของนายกวิน ธีร์ธวัชเหลือบตาไปมองและเห็นลูกบอลกำลังพุ่งลอยตรงมาหาเขา จึงพอที่จะรู้จุดประสงค์ของเพื่อน
                                      เขาพลิกตัวเตรียมตั้งรับ เล็งจังหวะให้ดีแล้วยกเท้าวาดวงสวิงเตะบอลลูกนั้นออกไปอย่างเต็มเหนี่ยว
                                      ผลั๊วะ...ฟ้าววววววว!
                                      บึ่ก!
                                      "อุ๊ฟฟฟ์!!"
                                      นายต่อตัวงอเป็นกุ้งไปเลย เมื่อบอลลูกนั้นอัดเข้าที่หน้าท้องของเขาอย่างแรง ทำเอาหนุ่มวิศวะเกิดอาการเข่าอ่อนล้มทรุดลงไปนอนจุกแอ้กอยู่ที่พื้น
                                      "ว้าว...เจ๋งเป้งไปเลย!"
                                      เกวลีและบรรดานักศึกษาหญิงที่ยืนดูอยู่ข้างสนาม ต่างตบมือกันเกรียวแสดงความพึงพอใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นธีร์ธวัชสามารถสยบสองนักศึกษาอันธพาลลงไปได้อย่างสวยสดงดงามอย่างนั้น
                                      นายโดมได้แต่ตกตะลึงยืนมองอ้าปากค้างอยู่ เพราะนึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์มันจะเกิดพลิกผันมาลงเอยเป็นแบบนี้
                                      ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า ฝีไม้ลายมือของชายหนุ่มหน้ามลจะรุนแรงและร้ายกาจถึงปานนี้ พอธีร์ธวัชเหลือบสายตามามองหน้า เขาจึงเกิดอาการสะดุ้งผวาและรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ขึ้นมาในทันที
                                      คนอย่างนายโดมนั้น เก่งแต่ที่จะอวดอำนาจบารมีว่าเป็นลูกชายของนักการเมืองใหญ่โต และอาศัยมือของลิ่วล้อรังแกชาวบ้านเท่านั้น หาได้มีความกล้าที่จะลงมือทำด้วยตัวเองไม่
                                      ที่คิดว่าจะมาสั่งสอนชายหนุ่มเลยต้องเปลี่ยนใจ รีบหันหลังกลับจ้ำอ้าวๆ เดินหนีไปเสีย ก่อนที่จะต้องเจ็บตัวเหมือนกับนายต่อและนายมัด ที่กำลังนอนแอ้งแม้งให้เห็นอยู่
                                      แต่ก่อนที่นายโดมจะเดินออกไปพ้นจากสนามฟุตบอล นายกวินซึ่งเห็นแล้วเกิดความหมั่นไส้ จึงรีบวิ่งไปเก็บลูกบอลที่กลิ้งตกอยู่บนพื้นมาถือไว้
                                      คราวนี้เขาไม่ส่งลูกไปให้เพื่อน แต่จะขอเป็นคนแสดงฝีมือเองบ้าง จัดแจงโยนลูกบอลให้ลอยออกจากมือแล้วง้างเท้าเตะลูกอย่างเต็มเหนี่ยว
                                      ผลั๊วะ!
                                      "โอ้ย!!"
                                      แรงชู้ตทำให้ลูกบอลลอยพุ่งเข้าไปปะทะกับท้ายทอยของนายโดมซึ่งกำลังหันหลังเดินหนีอยู่ และส่งผลให้หนุ่มวิศวะขี้เก๊กถลาหน้าคว่ำลงจูบพื้นอย่างแรง
                                      รู้สึกมึนงงตาลาย  มองเห็นดาวพร่างพรายระยิบระยับเต็มไปหมดเลยทีเดียว ใบหน้านั้น
เลอะเทอะมอมแมมไปด้วยขี้ฝุ่นจนหมดหล่อไปเลย
                                      และพอเอามือเช็ดที่มุมปาก   แลเห็นเลือดของตัวเองที่มันกำลังไหลปรี่ออกมาเท่านั้นเองแหละ ตาเหลือกถลนแทบช็อก ร้องเอะอะโวยวาย
                                      "เลือด!!...ตายแล้ว ไอ้ต่อ ไอ้มัด ช่วยกูด้วยโว้ยเร็วเข้า...กูตายแน่แล้ว!!"
                                      เสียงร้องที่เหมือนควายโดนเชือดของลูกพี่ ทำเอาสองหนุ่มที่กำลังมึนงงเพราะลูกชู๊ตของธีร์ธวัชต้องรีบตาลีตาเหลือกลุกขึ้นเข้าไปดูอาการ
                                      ทั้งคู่ก็เห็นว่าที่ริมฝีปากล่างของนายโดมมีรอยแตก อันสืบเนื่องมาจากการเอาใบหน้าที่หล่อเหลาไปไถกับพื้นดิน
                                      มันไม่ได้เป็นแผลใหญ่โตอะไรนัก แต่นายโดมกลับแหกปากร้องเสียเหมือนกับว่าจะเป็นจะตาย
                                      นายโดมเห็นว่าลูกน้องเอาแต่มายืนมองดู ไม่ได้ช่วยเหลือทำอะไรให้เขารู้สึกมีโมโห
                                      "มัวยืนเซ่อดูหอกอะไรอยู่วะ ช่วยพยุงกูลุกขึ้นทีซิโว้ย!"
                                      "เป็นไงบ้างครับพี่โดม?"
                                      นายต่อกับนายมัดกำลังตกอกตกใจเพราะเสียงร้องของลูกพี่อยู่ พอได้สติจึงช่วยกันประคองให้นายโดมให้ลุกขึ้นยืน และปัดเศษฝุ่นผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าให้อย่าประจบประแจง
                                      "เจ็บน่ะซีโว้ย ถามได้!"
                                      นายโดมตวาดเอาอย่างนึกฉุน ก่อนที่จะเหลียวไปมองหน้าธีร์ธวัชด้วยสายตาอาฆาตแค้น "ฮึ่ม...ฝากเอาไว้ก่อนเถอะวะมึง!"
                                      "ขอโทษนะ...ผมไม่รับฝากเรื่องที่ไร้สาระให้มันมารกสมองหรอกครับ" ชายหนุ่มยังคงยืนวางมาดสุขุมเหมือนเดิม
                                      "เออ...ห้ามแกไปยุ่งกะคุณระพีภัทราอีกก็แล้วกันนายธีร์!"
                                      "วางใจได้เลย ผมไม่ได้เคยคิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับคุณระพีภัทราเลยนะ เธอเป็นฝ่ายที่มาหาเรื่องกับผมเองมากกว่า"
                                      "พี่ธีร์น่ะเค้ามีคู่หมายอยู่แล้ว ยัยระพีภัทราไม่เคยอยู่ในสายตาของเค้าหรอกนะยะ"
                                      เกวลีรีบเข้าไปยืนคล้องแขนชายหนุ่ม เหมือนกับว่าจะประกาศตัวแสดงความเป็นเจ้าของให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ไว้
**********
                                      "แหม...ยังหม่ำไอติมไม่ทันหายอยากเลย ไม่รู้จะรีบไปไหนกันซี่?"
                                      ติ๋มบ่นกระปอดกระแปดขณะที่โดนพวกเพื่อนๆ ลากตัวออกมาจากร้านไอศคริมในห้างสรรพสินค้าอันใหญ่โตย่านรังสิต
                                      "พาออกมาเดินย่อยอาหารมั่งนะซีวะนังติ๋ม เอาแต่นั่งกินเป็นชูชกเดี๋ยวท้องแตกตายหรอกมึง" เปรียวหันไปมองค้อนเพื่อนสาวหุ่นตุ้ยนุ้ย
                                      "ฉันเพิ่งกินไอติมมะม่วงไปถ้วยเดียวเองนะยะหล่อน"
                                      "แต่เธอล่อไก่ทอดไปคนเดียวตั้งห้าชิ้น แถมยังฟาดเฟร้นซ์ฟรายอีกตั้งถุงใหญ่ แค่นี้มันยังไม่พออีกหรือวะ?"
                                      "แหม...ไอ้พีมันอุตส่าห์พามาเลี้ยงทั้งที"
                                      "ไอ้พีมันพาพวกเรามาเดินห้างทีไร ฉันเห็นหล่อนคอยสนใจแต่เรื่องกินอย่างเดียวเท่านั้นทุกทีแหละ"
                                      "เออใช่...สั่งเอาๆ ไม่มีความเกรงใจเจ้ามือเสียมั่งเลยเนอะ" ชนาภาพลอยผสมโรงออกปากพูดตำหนิ
                                      "ช่างเหอะน่า ฉันเต็มใจจะเลี้ยงเองแหละ อย่าไปทับถมไอ้ติ๋มมันกันเลยนะ"
                                      ระพีภัทรารีบเข้ามาเบรคพวกเพื่อนๆ ของหล่อนด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
                                      การที่ได้มาเดินเที่ยวห้างกับพวกเพื่อนสนิทมันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของหล่อน อย่างน้อยหล่อนยังได้หัวเราะสนุกสนานเบิกบานใจ ดีกว่าที่จะนั่งหงอยเหงาอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตตามลำพัง
                                      "ช่างได้ไงกันล่ะพี นังติ๋มมันชักใกล้น้องๆ ฮิปโปเข้าไปทุกทีแล้ว ขืนตามใจมันบ่อยๆ มีหวังส่งเข้าประกวดธิดาช้างได้เลย"
                                      คำพูดของชนาภาเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากระพีภัทราและเปรียวได้ไม่เบาเลยทีเดียว ยกเว้นเจ้าตัวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้นแหละ ที่หันมามองค้อนเพื่อนทำตาปะหลับปะเหลือก
                                      "มากไปมั้งภา"
                                      ระพีภัทราพูดกลั้วรอยยิ้ม พอดีเดินผ่านหน้าร้านขายอุปกรณ์กีฬาและเครื่องออกกำลังกาย เห็นว่าที่ตรงหน้าร้านมีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบหยอดเหรียญตั้งอยู่ หล่อนจึงค้นกระเป๋าถือล้วงเหรียญบาทออกมา "อยากรู้ลองให้ไอ้ติ๋มมันชั่งน้ำหนักดูดี้"
                                      "เฮ้ย,บ้าน่า...คิดดีแล้วเหรอ เดี๋ยวเครื่องชั่งของเค้าเกิดพังขึ้นมาล่ะก้อ ยุ่งตายห่ะเลย!"
                                      ดูจากลักษณะของเครื่องชั่งเมื่อเทียบกับตัวเพื่อนแล้ว ชนาภารีบคัดค้านไม่เห็นด้วยอย่างชนิดหัวชนฝา เลยถูกติ๋มมองค้อนเอาตาแทบพลิก
                                      "น้อยๆ หน่อยโว้ยนังภา ฉันหนักแค่สามสิบแปดกิโลเองนะยะ จะบอกให้!"
                                      "หุ่นอย่างแกเนี่ยนะ!??"
                                      "เออซีวะ...อีกห้าสิบกิโลฉันฝากแบงก์ไว้โว้ย!"
                                      คราวนี้ยัยติ๋มเป็นฝ่ายเรียกเสียงหัวเราะครืนจากพวกเพื่อนๆ เสียเอง
                                      "เฮ้ยๆ...มาทางนี้กันดีกว่าว่ะ"
                                      ใกล้ๆ กับเครื่องชั่งน้ำหนักนั้น มีเครื่องพยากรณ์ดวงชะตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ติดตั้งอยู่ มันดึงดูดความสนใจจากเปรียวไม่ใช่น้อยจนต้องหันไปกวักมือเรียกพวกเพื่อนๆ มาดูกัน
                                      ลักษณะของเครื่องนั้นคล้ายกับเครื่องหยอดเหรียญจอดรถข้างถนน มีหน้าจอมอนิเตอร์บอกถึงขั้นตอนในการดูดวงไว้เสร็จสรรพ ว่าจะต้องใช้เหรียญอะไรและกดปุ่มอย่างไรบ้าง
                                      "เครื่องดูดวง เออ...เข้าท่าว่ะแฮ๊ะ!"
                                      เรื่องหมอดูกับผู้หญิงนั้นมันเป็นของที่ถูกกันอยู่แล้ว พอมาเห็นเข้าเท่านั้นชนาภานึกชอบ
ทันที "ลองดูหน่อยดีเหมือนกัน"
                                      จัดแจงล้วงกระเป๋าสตางค์หาเหรียญสิบบาทมาหยอดลงไป แล้วกดวันเดือนปีเกิดของตัว
เองป้อนใส่เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
                                      เพียงครู่เดียวเท่านั้นเอง เครื่องก็เลือกคำทำนายเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ เท่ากับกระดาษสมุดโน้ตออกมาให้ เจ้าตัวรีบหยิบไปอ่านดูแล้วยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
                                      "คำทำนายว่าไงมั่ง?" เปรียวยื่นหน้าสอดแทรกเข้ามาดู
                                      "ดีจังว่ะ...ในนี้เขียนไว้ว่า ฉันจะได้พบเจอเนื้อคู่ที่ถูกใจในเร็วๆ นี้"
                                      "เหรอ...งั้นฉันขอดูมั่งดี้!"
                                      ยัยเปรียวเอาบ้าง รีบหยอดเหรียญลงไป และได้รับคำตอบออกมาทำให้เป็นที่พึงพอใจเช่นเดียวกัน
                                      "โอ้โห...ปีนี้ฉันจะมีโชคมีลาภแบบชนิดที่ไม่คาดฝันเลยเชียวแน่ะว่ะ...ยอดจริงๆ!"
                                      "ไหนๆ ฉันดูมั่งดี้!"
                                      ยัยติ๋มไม่ยอมน้อยหน้า หยอดเหรียญใส่ไปในตู้แล้วกดวันเดือนปีเกิดของตนเองป้อนใส่เข้าไป รับแผ่นคำทำนายออกมาอ่านดูแล้วยืนหน้าแดงอายม้วนต้วน
                                      ท่าทางของหล่อนชวนให้เป็นที่สงสัยของยัยเปรียวอยู่ไม่น้อย
                                      "เป็นไงล่ะ...ของแกเค้าว่าไง?"
                                      "เค้าว่า...ฉันจะได้แฟนเป็นชายหนุ่มรูปหล่อนน่ะ...แหมเขินจังว่ะ!"
                                      “ช้างน้ำอย่างมึงเนี่ยนะ!??" เปรียวฟังแล้วได้แต่ทำตาปริบๆ
                                      "เธอไม่ลองดูกับเค้ามั่งเหรอพี?"
                                      เห็นระพีภัทราเอายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ ชนาภาจึงหันมาพูดชวน แต่หญิงสาวกลับสั่นหน้าปฏิเสธ
                                      "ไม่เอาหรอก"
                                      "ทำไมวะ?"
                                      "บ้านฉันมีทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่รู้จะดูมันไปทำไม"
                                      "เอาน่า...อย่าน้อยก็ดูเรื่องเนื้อคู่ว่าเป็นยังไงบ้าง ปีนี้จะได้เจอรึป่าว ลองหน่อยดี้...นะ?"
**********
                                      ในห้องทำงานของคุณอุทัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงสยาม ถึงแม้ว่าจะเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและร้อนรุ่ม เมื่อคุณดิษย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาศาล มาขอเข้าพบเพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจ
                                      "อันที่จริง ฉันก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรหรอกนะ ที่จะเซ็นอนุมัติเงินกู้ก้อนนี้ให้กับดิษย์"
                                      คุณอุทัยบอกกับคุณดิษย์ซึ่งเป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน ทำให้อีกฝ่ายนั้นสีหน้าชักเริ่มไม่ค่อยสู้จะดีนักขึ้นมา
                                      "แล้วมันมีเหตุขัดข้องที่ตรงไหนกันหรือ?"
                                      "คือว่าอย่างงี้นะ..."
                                      นายแบงก์ใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ด้วยท่าทางที่อึกอักบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังรู้สึกลำบากใจ "นายรู้ดีอยู่แล้วว่า หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว เศรษฐกิจของเมืองไทยเราจึงอยู่ในอาการย่ำแย่ทรุดหนักลงเรื่อยมาตลอด"
                                      "เพราะอย่างงี้น่ะซี ฉันจึงมีความจำเป็นต้องมาขอกู้เงินจากนาย เพื่อที่จะไปประคับประคองฐานะของบริษัท ไม่ให้มันล้มพับลงไป"
                                      "ฉันน่ะเข้าใจดีว่านายกำลังลำบากมาก ถ้าหาเงินไปเพิ่มทุนไม่ได้บริษัทของนายก็ต้องปิดกิจการแน่ แต่ว่า..."
                                      "แต่อะไรหรือวะ?"
                                      "หลังจากที่รัฐบาลต้องยื่นขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ ทางแบงก์ชาติและกระทรวงการคลังเลยมีคำสั่งออกมาว่า ให้ธนาคารระงับการปล่อยเงินกู้เอาไว้ก่อน จนกว่าจะสำรวจหนี้เสียของระบบการเงินทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว"
                                      คุณอุทัยอธิบายสาเหตุให้อีกฝ่ายฟัง "ฉันเห็นใจดิษย์จริงๆ แต่ไม่กล้าที่จะขัดขืนคำสั่งของแบงก์ชาติหรอก"
                                      "อือ...ฉันเข้าใจดี"
                                      น้ำเสียงของคุณดิษย์นั้นแหบพร่าด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง เมื่อการเจรจาขอกู้เงินมีทีท่าว่าจะไม่สัมฤทธิ์ผลเสียแล้ว
                                      "ฉันว่าดิษย์ลองติดต่อกับแบงก์อื่นดูบ้างดีกว่านะ"
                                      "เห็นจะหมดหวังเสียแล้วล่ะอุทัย ขนาดแกกับฉันซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน ยังไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ แล้วแบงก์ไหนล่ะที่จะกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย?"
                                      "ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ช่วยอะไรดิษย์ไม่ได้"
                                      คุณอุทัยลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้ามาโอบไหล่เพื่อนรัก พาเดินไปที่ประตูห้องทำงานเพื่อจะส่งแขกของเขา "เวลานี้มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ฉันจะแนะนำนายได้"
                                      "อะไรหรือ?"
                                      "ปิดกิจการบริษัทของนายเสีย ก่อนที่จะโดนแบงก์ชาติมายึดเอาไป"
                                      "ฉันเห็นจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ"
                                      "ทำไมล่ะ ตอนนี้ใครๆ เขาก็ใช้วิธีล้มบนฟูกกันทั้งนั้น?"
                                      "เงินทุกบาททุกสตางค์ที่บริษัท มันเป็นเงินของลูกค้าที่เอามาฝากไว้ หน้าฉันยังไม่ด้านพอที่จะโกงพวกเขาเอาดื้อๆ อย่างนั้นหรอก"
                                      ถึงแม้ว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะที่เข้าตาจนแล้ว แต่ในจิตใจของคุณดิษย์นั้นยังมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่
**********
                                      เพราะทนการคะยั้นคะยอจากพวกเพื่อนๆ ไม่ได้ ระพีภัทราจึงจำใจลองดูดวงชะตาของตนเองจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้บ้าง
                                      หลังจากที่หยอดเหรียญสิบบาทลงไป และกระทำตามขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้นหมดแล้ว คำทำนายก็ออกมาจากตัวเครื่อง
                                      หญิงสาวหยิบเอาไปอ่านดูด้วยท่าทางที่เนือยๆ ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก และคำทำนายมีอยู่ว่า
                                      "เกณฑ์ชะตาของท่านในระยะนี้กำลังจะพบกับความยากลำบาก จะได้รับข่าวร้ายและระวังสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของมีค่า"
                                      พออ่านดูแล้วถึงกับยืนงงไปเลย ไม่ได้คิดว่าคำทำนายโชคชะตาของหล่อนจะออกมาในลักษณะนี้ ทั้งๆ ที่พวกเพื่อนๆ คนอื่นนั้นต่างได้รับแต่ใบที่ดีๆ กันทั้งนั้น
                                      "เขาว่าไง?"
                                      ชนาภายื่นหน้าเข้ามาถาม หล่อนจึงส่งคำทำนายแผ่นนั้นไปให้อ่านดูเอาเอง ซึ่งพอได้อ่านแล้วทำให้หญิงสาวเกิดอาการงุนงงไม่แพ้กัน "เฮ้ย...ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะวะ!??"
                                      "นั่นซี...มันเป็นไปไม่ได้หรอก...เช๊อะ!"
                                      ระพีภัทราไม่มีทางยอมเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า ลูกสาวมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจนล้นฟ้าอย่างหล่อนจะต้องพบกับความยากลำบากตามคำทำนายนั้น
                                      คำทำนายถูกส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูกันจนครบทุกคน และต่างมีความเห็นว่า มันไม่น่าที่จะเป็นไปเช่นเดียวกัน
                                      "คงมีอะไรผิดพลาดแน่เลยว่ะ ลองดูใหม่อีกทีซิวะพี"
                                      ชนาภาให้คำแนะนำ ซึ่งหล่อนเห็นว่ามันไม่น่าเสียหายอะไร จึงได้ลองหยอดเหรียญเข้าไปอีกครั้ง และได้คำทำนายใบใหม่ออกมามีใจความว่า
                                      "เกณฑ์ชะตาของท่านในระยะนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย ทุกสิ่งรอบกายนั้นล้วนมืดมนไปหมด จะหาความสุขกายสุขใจไม่ได้เลย"
                                      "อะไรวะ!??"
                                      คราวนี้พออ่านแล้วระพีภัทราเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาอย่างรุนแรง จัดแจงควานหาเหรียญสิบบาทในกระเป๋าถือเอามาหยอดใส่ตู้ใหม่
                                      ไม่ยอมเชื่ออยู่ดีว่า ชะตาชีวิตของหล่อนจะเลวร้ายไปตามคำทำนาย
                                      คำทำนายของใบที่สามนั้นกลับเลวร้ายหนักเข้าไปอีก
                                      "เกณฑ์ชะตาของท่านในระยะนี้จะพบแต่ความวิบัติล่มจม ฐานะความเป็นอยู่จะย่ำแย่ตกต่ำลง เหมือนกับดิ่งลงเหวลึกไปเลยทีเดียว"
                                      "เป็นไปไม่ได้...มันเป็นไปไม่ได้!!"
                                      ระพีภัทราฉีดคำทำนายใบนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความโมโห





                                   
           

                                   


                                                                       




                                                                       

                                    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น